พาราสาวะถี
ไม่ต้องไปรอฟังรอลุ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากศบค.รายวันให้เสียเวลา นาทีนี้ยังไงก็อยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับมาตรการของภาครัฐที่จะควบคุม ดูแล ไม่ต้องไปติดตามว่าจะเป็นอย่างไร
ไม่ต้องไปรอฟังรอลุ้นตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากศบค.รายวันให้เสียเวลา นาทีนี้ยังไงก็อยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับมาตรการของภาครัฐที่จะควบคุม ดูแล ไม่ต้องไปติดตามว่าจะเป็นอย่างไร ฟังสิ่งที่บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเป็นหมออาชีพแนะนำภายใต้สถานการณ์แบบนี้และแนวโน้มที่ไม่ต้องให้ใครมาคาดเดาให้ก็รู้ว่าจะเป็นอย่างไร การป้องกันตัวเองให้ดีที่สุดคือหนทางที่จะอยู่รอดปลอดภัยกว่าการมารอให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะคอยดูแลให้
การระบาดที่ล่วงเลยมาถึงระลอก 5 โดยที่ไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่ระลอก การใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง และหลีกเลี่ยงจุดแออัดโดยไม่จำเป็นคือมาตรการส่วนตัวที่ดีที่สุดแล้ว เพราะการระบาดทุกระลอกก็ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้วว่า เกิดจากการหละหลวมและเห็นแก่ตัวในมาตรการของภาครัฐทั้งหมด การรับเชื้อโอมิครอนหนนี้ใครจะกล้าปฏิเสธว่าไม่ได้มาจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวหรือเทสต์ แอนด์ โก ของศบค.ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งหัวโต๊ะอนุมัติ
แต่ประชาชนคงไม่ไปโทษและทวงถามถึงความรับผิดชอบใด ๆ เพราะมันไม่มีอยู่แล้ว ยามนี้ตั้งหน้าตั้งตาให้ตัวเองปลอดภัยจากโรคเพื่อหาทางอยู่รอดภายใต้ต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้นทุกด้านกันดีกว่า จะหวังพึ่งพิงสติปัญญาของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยิ่งลำบาก สิ่งที่ฝ่ายค้านโจมตีรายวันนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระเหมือนอย่างที่กระบอกเสียงที่ดีแต่พูดของท่านผู้นำมาแก้ต่าง เพราะภาระค่าครองชีพของประชาชนที่กำลังเผชิญอยู่เวลานี้ถ้ารัฐบาลมีฝีมือก็ต้องแก้ปัญหา ทุเลาความเดือดร้อน ไม่ใช่คอยแก้ตัวกันรายวัน
ราคาน้ำมันแพงอ้างได้ว่าเป็นไปตามกลไกตลาดโลก ตามมาด้วยการเลิกตรึงราคาก๊าซแอลพีจีก็เป็นผลพวงจากเรื่องราคาน้ำมันที่ต้องใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปพยุงราคาก่อนหน้า จึงต้องขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีที่บอกว่าเป็นแบบขั้นบันได เพื่อลดภาระของกองทุนน้ำมันฯ แต่ที่คนคาใจและเห็นว่าไม่ใช่กลไกของตลาดโลก เป็นเรื่องภายในประเทศที่ต้องอาศัยกึ๋นของผู้นำและบรรดาที่ปรึกษาในการแก้ไขคือ ราคาหมูแพง และไข่ไก่แพง ไม่ได้ศึกษา ติดตามสภาพปัญหาและคาดการณ์กันหรือว่าแนวโน้มจะเป็นอย่างไร
สิ่งที่ฝ่ายค้านเสนอแนะไม่ใช่เรื่องการผลิตวาทกรรมเหมือนอย่างที่บางพรรคการเมืองถนัด หรือแม้กระทั่งทีมไอโอของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจชอบใช้ หากแต่สัญญาณอันตรายเกี่ยวกับปากท้องของคนไทยได้เริ่มขึ้นแล้วในทุกมิติ ตั้งแต่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีการปรับราคาสูงขึ้น ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงลิ่วสวนทางกับรายรับ ทั้งวิกฤตการระบาดของโควิด-19 และวิกฤตเศรษฐกิจที่รุมเร้า สิ่งที่ ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกเพื่อไทยแถลงและเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นวิกฤต “ของแพงทั้งแผ่นดิน” จึงไม่ผิด
คนไทยต้องทนอยู่กับภาวะของแพงค่าแรงถูก มิหนำซ้ำ พรรคสืบทอดอำนาจที่ประกาศนโยบายประชานิยมจำแลง ให้คำมั่นสัญญาในตอนหาเสียงช่วงเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ 400-425 บาท จนถึงทุกวันนี้ค่าแรงยังไม่ขึ้น สวนทางกับภาระค่าครองชีพของต้นทุนชีวิตของประชาชนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะไร้วี่แววไม่ทำตามสัญญาแล้ว รองโฆษกพรรคเพื่อไทยรายนี้ยังชี้ให้เห็นเหมือนที่คนส่วนใหญ่มองคือ การแก้ไขปัญหาของผู้รับผิดชอบในรัฐบาลสุดแสนจะสิ้นหวัง
สิ่งที่เป็นเรื่องตลกแต่คนทั้งประเทศไม่ขำด้วยก็คือ ปัญหาราคาเนื้อหมูแพงเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลปกปิดความจริงมาตลอด 2-3 ปี บอกให้ประชาชนหันไปรับประทานเนื้อไก่หรืออาหารทะเลแทนเพื่อเพิ่มโปรตีน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ซ้ำยังทำให้เนื้อสัตว์อื่น ๆ ปรับราคาขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เรื่องราคาไข่ไก่ที่เป็นอาหารคนยากจนขึ้นราคาไปเรียบร้อย ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังเงียบไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ หรือจะบอกให้คนไทยหันไปกินไข่เป็ด ไข่ห่าน ไข่เหี้ยแทน (ฮา)
ความเห็นของชญาภาที่ขมวดท้ายน่าสนใจไม่น้อย โรคระบาดไม่ได้สร้างความเสียหายเฉพาะชีวิตของประชาชนเท่านั้น ยังได้สร้างความยากจนระบาดไปทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศ ที่ผ่านมารัฐบาลสืบทอดอำนาจได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้วว่าบริหารประเทศล้มเหลวทุกด้านอย่างสิ้นเชิง จนเกิดวิกฤตซ้อนวิกฤต นอกจากประชาชนต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงลิ่วแล้ว ประชาชนเริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ใช่ที่พึ่งที่หวัง แต่กลับมาเป็นภาระให้ประชาชนเสียเอง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้สำเหนียก เช่นเดียวกันกับบรรดาลิ่วล้อสอพลอทั้งหลาย นอกจากไม่สำนึกแล้ว ยังห่วงแต่ผลทางการเมือง อันหมายถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า สะท้อนได้จากการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 1 ชุมพร และเขต 6 สงขลา ที่กำลังจะมีขึ้น ถึงขนาดที่ว่าลูกพรรคของพรรคแกนนำรัฐบาลออกมาวิจารณ์รัฐมนตรีพรรคร่วมที่เป็นคู่แข่งในสนามเลือกตั้งชนิดลืมมารยาททางการเมืองกันเลยทีเดียว
ร้อนถึง ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคเก่าแก่ที่ถือเป็นคู่แข่งในสองสนามเลือกตั้งดังกล่าว ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้ทันควัน แต่ก็ตามสไตล์ประชาธิปัตย์ ไม่ให้ราคาคนที่ออกมากล่าวหา ก่อนจะตอกย้ำประเด็นมารยาททางการเมืองว่า ไม่อยากถามหาเพราะพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่าคำนี้ไม่สามารถสร้างได้ภายในไม่กี่วัน เนื่องจากต้องมาจากจิตใต้สำนึกที่แท้จริง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งทำให้คนของพรรคเก่าแก่ไม่พอใจอย่างมากคงเป็นเรื่องการกล่าวหาว่าไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาข้าวของราคาแพง
ในฐานะที่ดูแลกระทรวงพาณิชย์ รวมไปถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้นเวลานี้โดยตรง แทนที่จะร่วมกันรับผิดชอบกลับโยนขี้มาให้เพื่อนเสียอย่างงั้น เป็นใครก็ทนไม่ได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ กรณีนี้เป็นเรื่องของขนมผสมน้ำยา ถ้าเห็นว่าพวกไร้ยางอาย เอาดีเข้าตัวโยนชั่วให้ตัวเอง แล้วยังจะมาทนทู่ซี้อยู่ร่วมรัฐบาลกันต่อไปเพื่ออะไร ทั้งหมดมันเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ล้วน ๆ
ส่วนฝ่ายนิติบัญญัติที่เลื่อนประชุมสภากันไปยาว ๆ โดยอ้างสถานการณ์โควิด ทั้งที่รอบนี้ฝ่ายบริหารไม่ได้ออกมาตรการคุมเข้มเหมือนการระบาดหลายระลอกที่ผ่านมา ท่านประธานคงลืมไปว่าก่อนหน้านั้นเคยแสดงท่าทีอย่างแข็งขันว่าต้องประชุมกันไปโดยใช้มาตรการควบคุมเข้มข้น แม้ฝ่ายรัฐบาลจะขอความร่วมมืออย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของตัวเองคงไม่เป็นเช่นนี้ นี่ไงวิชาสามานย์ที่ใช้กันแบบเนียน ๆ