พาราสาวะถี
สถานการณ์โควิด-19 สำหรับประเทศไทย จับอาการของกระทรวงสาธารณสุขดูท่าจะมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่า การระบาดของโอมิครอนจะไม่รุนแรง
สถานการณ์โควิด-19 สำหรับประเทศไทย จับอาการของกระทรวงสาธารณสุขดูท่าจะมีความมั่นใจเป็นอย่างมากว่า การระบาดของโอมิครอนจะไม่รุนแรงจนถึงขนาดที่ว่าเตรียมจะเสนอให้ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งนัดหมายถกกันวันที่ 20 มกราคมนี้ พิจารณาผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการเตรียมที่จะเสนอให้กลับมารับนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัวหรือเทสต์ แอนด์ โก อีกครั้ง อยู่ที่ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะผู้อำนวยการศบค.จะเซย์เยสหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยจะสบายใจต่อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้นั้น ต้องมีข้อมูลยืนยันได้ชัดเจนว่าจะไม่เกิดการกลายพันธุ์อีกในอนาคต โอมิครอนจะเป็นสายพันธุ์สุดท้ายที่จะนำพามวลมนุษยชาติให้สร้างภูมิคุ้มกันธรรมชาติเพื่อสู้กับไวรัสชนิดนี้ได้เหมือนไข้หวัดใหญ่ น่าสนใจกับข้อมูลล่าสุดของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เปิดเผยผลการตรวจสายพันธุ์โควิด-19 จากโรงพยาบาลรัฐและเอกชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระหว่างวันที่ 3-16 มกราคม 2565
โดยพบว่าพบเป็นสายพันธุ์โอมิครอน 97.1% หรือจำนวน 69 รายจากเคสตัวอย่าง 71 ราย และเดลต้า 2.8% โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ ระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวหมายถึงในกรุงเทพฯ หากไม่นับในเรือนจำโอมิครอนน่าจะเข้ามาแทนที่เดลต้าเกือบหมดแล้ว “Twindemic” หรือการติดเชื้อสองสายพันธุ์ ระหว่างโอมิครอนและเดลต้าไปพร้อมกันในระยะเวลาสั้น ๆ ได้จบลงแล้ว ไม่นานโอมิครอนคงจะกระจายไปทั่วประเทศ นี่คือสัญญาณที่ถูกส่งให้ประชาชนทุกคนเตรียมรับมือ
เพราะการจะไปสู่เป้าหมายที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศไว้ว่า โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นนั้น ประชาชนจะต้องไม่ตระหนก หวาดกลัว โดย แอนโทนี ฟาวซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคติดต่อและภูมิแพ้แห่งชาติของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญในคณะทำงานเพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตือนว่า “ในที่สุดแทบทุกคนจะติดเชื้อไวรัสโอมิครอน” จากนั้นทั้งภูมิคุ้มกันจากวัคซีนและจากการติดเชื้อตามธรรมชาติจะพุ่งขึ้นสูง
นั่นหมายความว่ามันจะช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 และลดอัตราการเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนจากข้อมูลผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตทั่วโลกจากโอมิครอน โดยศูนย์จีโนมทางการแพทย์ชี้ว่า ประเทศไทยมีการติดเชื้อจากธรรมชาติไม่มาก และประชาชนได้รับวัคซีนเชื้อตาย ก่อนสลับมารับวัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นพาหะหรือไวรัลเวกเตอร์ และหรือวัคซีน mRNA เป็นเข็มกระตุ้น และได้ผลดีเช่นกันเหมือนต่างประเทศ
แม้จะเห็นผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นจากโอมิครอน แต่ผู้เสียชีวิตลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไวรัสโคโรนา 2019 คงจะจบเกมหรือ End game กลายเป็นโรคประจำถิ่นเหมือนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งมาตามฤดูกาล โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณร้อยละ 0.1 แนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ผลจากการประชุมศบค.ในวันพฤหัสบดีนี้ น่าจะเป็นตัวบ่งบอกได้ ดูจากอาการของ อนุทิน ชาญวีรกูล แล้วพอคาดเดาได้ว่าทิศทางน่าจะออกมาดี
ขณะที่การเมืองว่าด้วยผลเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 1 ชุมพร และเขต 6 สงขลา ชัยชนะตกเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ฐานะเจ้าของเก้าอี้เดิม ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย หากแต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น อนุทินมองว่าเลือกตั้งซ่อมเหมือนสมัยเด็กที่เพื่อนทะเลาะกันแต่กลับมารักกัน มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ เพราะดูท่าว่าพรรคสืบทอดอำนาจจะไม่ยอมจบ และไม่ยอมรับความปราชัย มีการขยับจะยื่นร้องเรียน มิหนำซ้ำยังมีการกล่าวหากันอย่างหนักหน่วงด้วย
โดยคนที่พูดเป็นถึงเลขาธิการพรรคแกนนำรัฐบาล ธรรมนัส พรหมเผ่า กับวลีทองหลังทราบผลเลือกตั้งว่า “ไม่เคยเห็นการโกงการเลือกตั้งแบบนี้มาก่อน” จน นิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคเก่าแก่ต้องออกมาโต้ทันควัน ซัดไปตรง ๆ ที่ธรรมนัสในฐานะผู้ใหญ่ของพรรค กล่าวหากันอย่างนี้เสมือนขี้แพ้ชวนตี ไม่ควรเกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันอย่างนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแข่งขันกันตามระบอบประชาธิปไตย มีกกต.กำกับดูแลการเลือกตั้ง
พร้อมทั้งท้าทายต่อว่า หากมีพยานหลักฐานก็ไปยื่นกกต.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลจัดการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม พอแพ้แล้วกล่าวหาคนอื่นให้เสียหายว่าโกงการเลือกตั้งควรเลิกใช้ได้แล้ว ไม่ใช่วิสัยของนักกีฬา และควรระมัดระวังคำพูดที่กล่าวหาคนอื่นเสียหาย หรือมัวหมอง หรือว่าแพ้แล้วไม่รู้จะอธิบายกับคนอื่นอย่างไร กรณีนี้ก็น่าคิดอยู่ไม่น้อย เพราะความพ่ายแพ้ของพรรคสืบทอดอำนาจไม่ได้หมายถึงแค่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.และแม่บ้านพรรคคู่ใจจะเสียหน้า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็พลอยเสียหายไปด้วย
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าผลโพลที่ธรรมนัสเคยแพลมออกมาก่อนหน้านั้นคะแนนนิยมของพรรคในภาคใต้ลดลงอย่างน่าใจหาย แต่ฝ่ายสอพลอท่านผู้นำก็สวนกลับว่าคนใต้ยังนิยมชมชอบผู้นำเป็นการส่วนตัว ผลการเลือกตั้งที่ออกมาย่อมเป็นบทพิสูจน์ เท่ากับว่าที่องคาพยพของขบวนการสืบทอดอำนาจเคยมั่นอกมั่นใจ โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าคนภาคใต้ก็ฐานเสียงสำคัญของตัวเอง อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว อีกด้านก็กลับไปสร้างความฮึกเหิมให้กับพรรคเก่าแก่ได้อีกทวีคูณ
ไม่เพียงเท่านั้น ในจังหวะที่กำลังชอกช้ำจากความปราชัย ก็ปรากฏว่าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค สุพล ฟองงาม กับ สันติ กีระนันทน์ ได้ยื่นใบลาออกจากพรรค ไม่แยแสต่อหัวโขนที่มีแม้แต่น้อย โดยมีเป้าหมายไปร่วมกับพรรคเกิดใหม่ที่จะแถลงเปิดตัวในวันที่ 19 มกราคมนี้อย่าง “สร้างอนาคตไทย” ที่มี อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พร้อมทีมงาน 4 กุมารเป็นแกนหลัก มีการคุยฟุ้งก่อนเปิดตัวด้วยว่าจะมี คนดี คนเก่ง และคนทำงานจากทุกภาคส่วน ไม่เพ้อฝัน ไม่สุดโต่ง มาร่วมงานกันจำนวนมาก อีกไม่กี่อึดใจจะได้เห็นหน้าค่าตาที่โวกันไว้จะเป็นทางเลือกและความหวังใหม่ได้จริงหรือไม่