เดิมพันที่น่าลอง
เรื่องการเก็บภาษีขายหุ้นและหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นนั้น มีความพยายามเรียกเก็บมาแล้วหลายครั้ง นับแต่การตั้งตลาดเมื่อเกือบ 50 ปีมาแล้ว
เรื่องการเก็บภาษีขายหุ้นและหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นนั้น มีความพยายามเรียกเก็บมาแล้วหลายครั้ง นับแต่การตั้งตลาดเมื่อเกือบ 50 ปีมาแล้ว และการจะเรียกเก็บทุกครั้งก็มักจะมีทั้งคนสนับสนุน และคัดค้านเช่นกัน
ผลลัพธ์คือจนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีการเก็บภาษีกับคนที่ซื้อขายหุ้น แต่รัฐก็ไม่เดือดร้อนเพราะภาษีที่ได้รับจากการจ่ายเงินปันผลโบนัสพนักงาน และภาษีอื่น ๆ รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็เต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นกัน
เหตุผลคือการเสียภาษีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดไม่มีการหลบเลี่ยงกัน ในขณะที่ภาษีอื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แสดงว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนมีการหลบเลี่ยงภาษีต่ำมาก
แต่…คนที่ทำหน้าที่เก็บภาษีเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังของรัฐ ย่อมอดคิดไม่ได้เรื่องการเรียกเก็บภาษีจากคนที่มีเงินได้ จากความเดิมเมื่อครั้งความพยายามเรียกเก็บภาษีจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหรือ Capital Gain Tax ก็กลายมาเป็นแนวทางที่กำลังเสนอกันใหม่ล่าสุดโดยจะให้มีผลในปีนี้ไป ส่วนเวลาจะเป็นเมื่อใด มิใช่เรื่องต้องกังวล
แนวคิดใหม่ จึงเปลี่ยนมาเก็บจากการขายอย่างเดียวถือว่าการขายทุกครั้งทำให้เกิดรายได้ ดังนั้นการเรียกเก็บจึงถูกต้องแล้ว
เรื่องนี้ผมเองสนับสนุนเต็มที่ว่า ควรเก็บภาษีไม่ว่าการขายหุ้นจะกำไรหรือขาดทุนก็ล้วนมีส่วนทำให้เกิดรายได้ เพราะในการเรียกเก็บภาษีรายได้จากขายหุ้นนั้น จะมีส่วนสร้างความยุติธรรมทางสังคมให้จริงจังให้เพิ่มขึ้น
ในอดีตที่ผ่านมา นักลงทุนเก็งกำไรในตลาดหุ้นไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อยโดยเฉพาะกองทุนหรือนักลงทุนสถาบันทั้งหลายต่างได้ใช้ประโยชน์จากการไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้จากการขายหุ้น หาประโยชน์จากความมั่งคั่งของตลาดทุนมายาวนาน ที่คนลงทุนในตราสารหนี้ และกองทุนรวม รวมทั้งคนถือหุ้นรับปันผลก็ล้วนเสียภาษีทั้งสิ้น
แนวทางของกรมสรรพากรในการเรียกเก็บภาษีรายได้จากการขายหุ้นนั้นว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้วมีความละเอียดรอบคอบพอสมควรเพราะ 1) จัดเก็บจากคนที่ขายหุ้นแต่ละเดือนเกิน 1 ล้านบาทเท่านั้น 2) ภาษีที่เรียกเก็บต่ำมากเพียงแค่ 0.1% เท่านั้น
ท่าทีของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเบื้องต้นยังเป็นแบบแบ่งรับแบ่งสู้โดยในวันที่ 17 ธันวาคม 2564 นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บอกว่า กรณีที่กระทรวงคลังมีแผนเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้น (Financial Transaction Tax) ในตลาดหุ้นไทยช่วงปี 2565 ที่อัตรา 0.1% ของมูลค่าซื้อขายเกิน 1 ล้านบาทต่อเดือนนั้นตลท.ยอมรับแผนจัดเก็บภาษีดังกล่าว
แต่ท่าทีล่าสุดจากเอกสารลับของตลาดหลักทรัพย์ฯ (ซึ่งที่แท้จริงคือการปล่อยข่าวตีโต้) ออกมาในทางตรงกันข้ามโดยชี้ผลกระทบทางลบถึง 6 ด้าน ซึ่งหลายข้อไม่มีเหตุผลอย่างเช่น 1.ประมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ประจำวันลดลงถึง 30% ซึ่งเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น 2. ก.ล.ต. จะมีค่าธรรมเนียมรายรับลดลงไปมาก โดยไม่ได้พูดถึงรายได้ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ลดลงซึ่งเป็นข้ออ้างแบบตีวัวกระทบข้าง เพราะจริง ๆ แล้วก.ล.ต. ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะต้องเอารายรับทั้งหมดส่งคลังอยู่แล้ว ไม่ได้เก็บไว้ที่ก.ล.ต. เลย
เพียงแค่ ความไม่สมเหตุสมผลของทั้ง 2 ข้อนี้ ก็เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าข้ออ้างของตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นเป็นข้ออ้างเดิม ๆ ที่เขียนเสือให้วัวกลัว
ดังนั้นการที่กระทรวงการคลังจะเก็บภาษีจากการขายหุ้นจึงมีเหตุผลสมควรและเป็นการเดิมพันที่น่าทดลองอย่างยิ่ง ให้มันรู้กันไปเลยว่าใครกันแน่ที่มีเหตุผลมากกว่ากัน