การสร้างสถานการณ์กับราคาน้ำมัน

การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก เกิดขึ้นเพราะมีข่าวความรุนแรงจากสงครามที่ไม่ประกาศในตะวันออกกลางเมื่อกลุ่มกบฏฮูตียิงขีปนาวุธหวังถล่ม UAE


น้ำมัน WTI พุ่งกว่า 1% เช้าวานนี้ ทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี

การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก เกิดขึ้นเพราะมีข่าวความรุนแรงจากสงครามที่ไม่ประกาศในตะวันออกกลางเมื่อกลุ่มกบฏฮูตียิงขีปนาวุธหวังถล่ม UAE

กลุ่มดังกล่าว ปฏิบัติการในเยเมนใต้ซึ่งเป็นเขตอยู่ของทะเลแดงต่อกับมหาสมุทรอินเดีย อันเป็นเส้นทางเดินเรือน้ำมันสำคัญของตะวันออกกลางที่เปราะบางมากที่สุด

ไม่มีใครรู้ว่าปฏิบัติการดังกล่าวมีเป้าหมายอะไร แต่การที่กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนได้ยิงขีปนาวุธข้ามพรมแดนเพื่อหวังโจมตีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) อีกระลอก ถือเป็นการสร้างสถานการณ์ที่เอื้อให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกขยับตัวเพิ่มขึ้น

ปัญหาการสร้างสถานการณ์สงครามยังคงมีส่วนขยับราคาน้ำมันได้ทุกเมื่อ

คืนวานที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามในตะวันออกกลางเลย ราคาขยับขึ้นทันที โดยราคาสำหรับส่งมอบเดือน มี.ค. พุ่งขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.08% แตะที่ 87.76 ดอลลาร์/บาร์เรลตามข่าวร้ายที่เกิดขึ้น

กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนได้ยิงขีปนาวุธข้ามพรมแดนเพื่อหวังโจมตี UAE ในช่วงเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ (30 ม.ค.) โดยนับเป็นครั้งที่ 3 ภายในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ที่กลุ่มกบฏฮูตีก่อเหตุโจมตี UAE ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวร่วมสำคัญของกองกำลังพันธมิตรภายใต้การนำของซาอุดีอาระเบีย ขณะที่กลุ่มกบฏฮูตีได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอิหร่านซึ่งเป็นคู่ปรับของซาอุดีอาระเบีย

กระทรวงกลาโหมของ UAE ยืนยันว่า กองทัพของ UAE สามารถยิงสกัดขีปนาวุธดังกล่าวได้สำเร็จ และเศษซากของขีปนาวุธที่ถูกยิงทำลายนั้นได้ตกลงในพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่อาศัย

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้เพิ่มคำเตือนให้ระวังอันตรายจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธหรือโดรนในการเดินทางไปยัง UAE โดยแถลงการณ์ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อพลเมืองและผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในอ่าวอาหรับ

กลุ่มกบฏที่ปฏิบัติการอยู่ในเยเมนได้แสดงความต้องการที่จะโจมตีประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึง UAE โดยใช้ขีปนาวุธและโดรน ซึ่งการโจมตีที่ผ่านมานั้นมีเป้าหมายไปยังพื้นที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นและสาธารณูปโภคพื้นฐานของพลเรือนคำถามก็คือ กบฏดังกล่าวมีการสมรู้ร่วมคิดกับการขึ้นลงของราคาน้ำมันกับชาติส่งออกน้ำมันหรือไม่ เพราะเห็นได้ชัดเลยว่า ทุกครั้งเมื่อราคาน้ำมันดิบร่วงหนักก็จะมีปฏิบัติการของกลุ่มนี้ถี่กระชั้นมากขึ้น แล้วจากนั้นก็เงียบหายไปหรือเบาบางลงเมื่อราคาน้ำมันดิบขึ้นสูง แต่ระยะหลังนี้ปฏิบัติการของกลุ่มนี้ มีขึ้นเมื่อราคาน้ำมันทรงตัวในระดับสูง และทำท่าจะดิ่งหัวลง เสมือนมีปฏิบัติการเพื่อดันราคาน้ำมันขึ้นไปอีก

ปฏิบัติการของกลุ่มกบฏหรือกลุ่มก่อการร้ายเช่นนี้ เป็นปัจจัยเสริมอีกแรงหนึ่งของ “มือที่มองเห็น นอกเหนือจากการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสซึ่งเป็นชาติส่งออกน้ำมันทั้งในและนอกโอเปกนำแถวโดยรัสเซีย และซาอุดีอาระเบียในการดันราคาน้ำมันโดยอ้างเหตุผลของการสร้างเสถียรภาพของราคา” เป็นการดันราคาน้ำมันในลักษณะคาร์เทลทางด้านอุปทานน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติของโลกที่ทรงอิทธิพลในยามที่โลกกำลังหาทางใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจังแทนน้ำมันปิโตรเลียม

แม้ว่าจะเป็นที่เข้าใจกันดีว่า ปฏิบัติการของมือที่มองเห็นสองด้านดังกล่าว เป็นเพียงการคั่นเวลาของความพยายามยืดเวลาสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ แต่ตลาดในระยะสั้นก็ยังคงขานรับข่าวร้ายอย่างได้ผล โดยที่ไม่ทำให้เกิดการขยายตัวเป็นสงครามขนาดใหญ่ และไม่ยั่งยืนจนคนต้องหันกลับมาใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเหมือนเดิม แต่ก็ทำให้ชาติที่มีรายได้จากพลังงานปิโตรเลียมยื้อเวลาหายนะทางการเงินการคลังไปได้อีกนานพอสมควร

สงครามที่เกิดจากการสร้างสถานการณ์ที่เป็นปาหี่ระดับโลกที่เกิดขึ้น ยังคงจะมีต่อไป แต่หากคนทั่วโลกไม่เสียขวัญ และยืนหยัดสูงกับการสร้างสถานการณ์จอมปลอมเหล่านี้ได้ โดยมุ่งมั่นใช้และสร้างพลังงานทดแทนขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพลังงานใหม่ หรือทางเลือกอื่น ๆ ก็เชื่อแน่ว่า ท้ายที่สุด มือที่มองเห็นจะเป็นง่อยเสียเอง

ดังนั้น ชาวโลกต้องเร่งช่วยกันทำให้มืออันอุบาทว์เป็นง่อยเร็ว ๆ

Back to top button