พาราสาวะถี

การเมืองเรื่องสภาล่มเป็นประเด็นเล็กน้อยไปในทันที เมื่อมีข่าว 21 ส.ส.กลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า รวมตัวกันที่ภูเก็ตแล้วมีมติเคาะสนับสนุนรัฐบาลต่อไป


การเมืองเรื่องสภาล่มเป็นประเด็นเล็กน้อยไปในทันที เมื่อมีข่าว 21 ส.ส.กลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า รวมตัวกันที่ภูเก็ตแล้วมีมติเคาะสนับสนุนรัฐบาลต่อไป แต่ยื่นเงื่อนไขขอเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้กับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. เท่ากับเป็นการท้าทายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ขณะเดียวกันเป็นการขยี้ซ้ำว่า การที่น้องรองของแก๊ง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา นั่งในตำแหน่งมท.1 นั้นไม่ได้ทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลได้ประโยชน์หรืออยู่ในฐานะฝ่ายกุมความได้เปรียบทางการเมืองแต่อย่างใด

การชูประเด็นร้อนก่อนที่จะเปิดตัวร่วมพรรคเศรษฐกิจไทยอย่างเป็นทางการ ถือเป็นหมัดแย็บที่เรียกคะแนน ซึ่งมีส.ส.อีกจำนวนไม่น้อยในพรรคสืบทอดอำนาจแอบยกมือหนุนต่อข้อเสนอดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อน้องเล็กยืนยันหนักแน่นแล้วว่าจะไม่มีการยุบสภาหรือปรับครม.ในช่วงนี้ การเคลื่อนไหวเช่นนี้ย่อมมีนัยทางการเมือง จะบอกว่าพี่ใหญ่ไม่รู้ไม่เห็นด้วยเหตุผลไม่ได้อยู่พรรคเดียวกันแล้ว คงไม่มีใครเชื่อ ยิ่งสองน้องรักจากแก๊ง 3 ป.ยิ่งต้องแคลงใจมากกว่าใครเพื่อน

มาถึงตรงนี้เมื่อจอมเชลียร์เปลี่ยนสีอย่าง เสกสกล อัตถาวงศ์ ได้ไขก๊อกจากพรรคสืบทอดอำนาจเพื่อจะไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้วยวลีเด็ดไปเป็นหัวหมาดีกว่าอยู่เป็นหางราชสีห์ จุดนี้ก็กลายเป็นการขยายภาพชัดต่อไปว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอาจจะไม่ได้อยู่ร่วมเรือลำเดียวกันกับพี่ใหญ่อีกแล้ว ภาพจะยิ่งชัดมากขึ้นหากหลังจากนี้จะมีส่วนประกอบของหมาที่จะตามหัวอย่างเสกสกลไป ถ้าล้วนแต่เป็นคนที่รับใช้ใกล้ชิดท่านผู้นำก็ไม่ต้องสืบต่อว่าพรรคนี้ตั้งมาเพื่อใคร

ความจริงก็น่าจะชัดไปเกิน 70-80 เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะนอกจากเสกสกลที่แสดงตัวชัดเจนแล้ว เพจเชียร์ลุงทั้งหลายก็ออกมาเคลื่อนไหวถึงพรรคดังกล่าวด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่ารอจังหวะทางการเมืองที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นจริงขึ้นมาเท่านั้น เป็นการตอกย้ำสิ่งที่ได้บอกมาโดยตลอดการประกาศหรือแสดงออกให้คนรับรู้ว่าพี่น้องแก๊ง 3 ป.รักกันจนมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่จะมาพรากไปได้ จึงเป็นการสร้างภาพตามแนวทางไอโอที่ถนัดเท่านั้น

ความจริงของวันนี้ก็คือ พี่ใหญ่ก็ควบม้าสองขาทั้งพรรคสืบทอดอำนาจและพรรคเศรษฐกิจไทยที่ส่งทั้งคนสนิทและลูกน้องที่รู้ใจไปเดินเกมทางการเมือง ขณะที่น้องเล็กก็เลือกจิ้มเอาไพร่พลในพรรคของพี่ใหญ่มาเป็นพวกเพื่อไม่ให้เกิดการหักหลังเหมือนที่ตัวเองถูกกระทำคราวศึกซักฟอกที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ส่งทัพหน้าไปถางทางกับพรรคใหม่ กลายเป็นขี่ม้าสองตัวเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้บรรดากองเชียร์และกองแช่งก็ต้องลุ้นว่าใครจะพลาดตกม้าตายก่อนกัน

ด้วยสถานการณ์การเมืองที่ดำเนินไปเช่นนี้ น้องรองที่อยู่ตรงกลางเมื่อใจจะเอนเอียงเข้าข้างทางฝ่ายน้องเล็ก แต่ด้วยการทำงานการเมืองที่ใจไม่ถึงหากจะเดินต่อไปก็เกรงว่าจะเจ็บตัวมากกว่ามีอนาคต ดังนั้นการเลือกที่จะวางมือในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงน่าจะสง่างามมากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่กลุ่มของธรรมนัสยื่นเงื่อนไข เพื่อที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นการปูทางลงให้กับน้องรองของพี่ใหญ่ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

สำหรับรูปแบบปฏิบัติการณ์ทางการเมืองของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพื่อจะทำให้การถอดหัวโขนจากหัวหน้าเผด็จการคสช.มาสู่นักการเมืองภายในรูปเงาของระบอบประชาธิปไตยนั้น อ่านกันไม่ยาก โดยที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ลำดับขั้นตอนให้เห็นทั้งก่อนจะตั้งพรรคสืบทอดอำนาจ และก่อนจะมาเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งต้นจาก 20 กันยายน 2558 รัฐบาลคสช.เปิดปฏิบัติการแนวคิดสานพลังประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก

จากนั้น 19 กุมภาพันธ์ 2559 ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเปิดโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ก่อนที่ 2 มีนาคม 2561 ชวน ชูจันทร์ และพวก ไปจดจองชื่อพรรคพลังประชารัฐต่อกกต. ซึ่งทุกคนต่างเชื่อกันว่าเป็นพรรคเพื่อการสืบทอดอำนาจ แม้คนที่ไปจดจองชื่อจะมีข้ออ้างสารพัด สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น นักการเมืองใต้อุ้งตีนเผด็จการเข้ามาบริหารพรรค ตามมาด้วยการใช้สารพัดวิธีดูดลากตัวนักเลือกตั้งเสือหิวเสือที่มีชนักปักหลังทั้งหลายมาเข้าพรรค

หลังการเลือกตั้งแม้ไม่ใช่ผู้ชนะแต่ด้วยกลไกที่วางไว้และ 250 เสียงของส.ว.ลากตั้ง ก็จับมือกับพรรคการเมืองต่าง ๆ ตั้งรัฐบาลสำเร็จ พร้อมกับการเสนอชื่อหัวหน้าเผด็จการคสช.เป็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จนกระทั่งถึงวันที่การเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้งเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว จากที่ยักแย่ยักยันจะไปกันต่อในนามพรรคสืบทอดอำนาจหรือแยกกันเดินดีกว่าสำหรับแก๊ง 3 ป. การเกิดพรรครวมไทยสร้างชาติและการขยับของคนสนิทท่านผู้นำคงไม่ต้องถามกันอีกแล้วว่าจะเดินกันแบบไหน

ที่มาที่ไปของพรรคดังกล่าวก็ไม่ต่างจากพรรคสืบทอดอำนาจ 17 มิถุนายน 2563 ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศเชิญชวนประชาชนเดินหน้าภารกิจรวมไทยสร้างชาติ 13 สิงหาคม 2563 มีการแถลงอีกครั้งผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ชูนโยบายรวมไทยสร้างชาติฝ่าวิกฤต และในวันเด็ก 9 มกราคม 2564 ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็มอบคำขวัญ “เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม”

ที่น่าสังเกต ในเดือนเดียวกันกับที่เคยก่อตั้งพรรคสืบทอดอำนาจ 31 มีนาคม 2564 ไกรภพ นครชัยกุล จัดตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ จนล่าสุดบรรดาสมุนใกช้ชิดของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแสดงตัวไปเข้าคอกกันอย่างคึกคัก เมื่อเดินเกมกันแบบนี้จังหวะก้าวทางการเมืองของท่านผู้นำจึงถูกมองว่าต้องไปอยู่กับพรรคการเมืองนี้ เพียงแต่ว่าจะไปในฐานะไหนเท่านั้น ส่วนพรรคสืบทอดอำนาจถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้เลือกตั้งครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะยังอยู่ในสนามเลือกตั้งอีกหรือไม่

ตามสูตรถ้าพรรคสืบทอดอำนาจยังไปต่อ แคนดิเดตนายกฯ ก็คงไม่ใช่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแน่นอน สิ่งที่เป็นอยู่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะ วิษณุ เครืองาม เอ่ยปากตั้งแต่ตั้งรัฐบาลแล้วว่าอยู่หรือไป ไม่มีใครจะมาล้มได้ สนิมเกิดแต่เนื้อในตนทั้งนั้น อย่าได้แปลกใจหากจากนี้ข่าวที่จะตีคู่ขนานกันมาคือ พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคจะถอนตัวด้วยเดิมพันชิงความได้เปรียบทางการเมือง

Back to top button