อะไรจริงมั่งไหมเนี่ย
เคยบอกว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2557 แล้วนี่มันปาเข้าไปกว่า 7 ปีแล้วเนี่ย ยังไม่ถือว่า “นาน” อีกเหรอ แถมยังจะขออยู่ต่อไปอีกนานแสนนานไม่มีกำหนด
เคยบอกว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน” ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2557 แล้วนี่มันปาเข้าไปกว่า 7 ปีแล้วเนี่ย ยังไม่ถือว่า “นาน” อีกเหรอ แถมยังจะขออยู่ต่อไปอีกนานแสนนานไม่มีกำหนด
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 61-80) มีอะไรทำได้จริงบ้าง ตั้งขึ้นมาทำไมให้มีผลผูกพันการยึดถือปฏิบัติกับรัฐบาลต่อ ๆ มา รัฐบาลไหนไม่ทำตามคงต้องโดนสอย แต่หากเป็นรัฐบาลพรรคพวกเดียวกัน จะมีการยกเว้นให้หรือเปล่า ก็ยังน่าสงสัย
เนื้อหายุทธศาสตร์ชาติ เขียนกันราววิทยานิพนธ์ วปอ. ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ส่วนใหญ่เขียนเป็นนามธรรม แต่บางเรื่องก็ลงรูปธรรมชัดเจนให้ตรวจสอบได้เหมือนกัน
อาทิเรื่องเป้าหมายการหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางสู่รายได้สูง (ข้อ 3.1) ระบุให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวปีละไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5
แต่ในข้อเท็จจริง เศรษฐกิจไทยในรอบ 3 ปี (61-63) ไม่เคยเติบโตถึงร้อยละ 5 เลย
จีดีพีปี 61 เติบโต 4.1% ปี 62 โต 2.4% ส่วนปี 63 ที่โควิดอาละวาดหนักต้องล็อกดาวน์-ปิดเมืองนี่จีดีพีติดลบ 6.1% และปี 64 ยังไม่มีจีดีพีทางการประกาศออกมา แต่สภาพัฒน์คาดจีดีพีจะเติบโตเพียง 1.2%
นี่ไง! เป้าหมายรูปธรรมในยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาลชุดพล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยทำได้ตามเป้าสักปี แล้วใครหรือ องค์การอิสระใดจะเล่นงานกล่าวโทษรัฐบาลประยุทธ์ได้
ในภายภาคหน้า ถ้าไม่ใช่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลนายก.ข.ค.คนอื่นล่ะ ทำงานหลุดเป้าอย่างนี้จะโดนเล่นงานไหม ยิ่งถ้าเป็นรัฐบาลจากขั้วตรงข้ามพรรคพลังประชารัฐล่ะ จะโดนเล่นเลยไหม ตลกดี!
นี่เป็นยุทธศาสตร์ “แก้เกี้ยว” ที่ไปปล้นชิงอำนาจเขามา หรือยุทธศาสตร์เพื่อกีดกันพรรคการเมืองคู่แข่ง หรือเป็นยุทธศาสตร์ตลกร้าย! ให้พล.อ.ประยุทธ์ครองอำนาจไปจนถึงปี 2580 กันแน่
ปี 65 อายุ 67 ขวบ ปี 80 พล.อ.ประยุทธ์จะมีอายุ 82 ปี แล้วยังจะไหวอยู่หรือนั่น!
“บัตรคนจน” หรือ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” เริ่มต้นราวปี 2559 มีคนจนลงทะเบียนในระบบกว่า 11 ล้านคน รองนายกฯ เศรษฐกิจคนหนึ่งถึงกับประกาศลั่นว่า ภายในปี 2561 คนจนจะหมดประเทศ
แต่แล้ว “คนจน” กลับเพิ่มขึ้นมาทุกปี 2564 มีคนจน 13.45 ล้านคน แต่มาในปี 2565นี้ มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า มีผู้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากถึง 20 ล้านใบ นี่มันอะไรกัน…
คนจนไม่หายไป แต่กลับเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว
รัฐธรรมนูญปราบโกงที่อ้างกัน กลับกลายเป็นรัฐธรรมนูญฉ้อฉลและเจ้าเล่ห์ ที่มุ่งการสืบทอดอำนาจเหนืออื่นใด เห็น
ได้จากอันดับการทุจริตของประเทศไทย ที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ตกต่ำย่ำแย่ลงมาทุกปี
ดัชนีการทุจริตประจำปี 2564 ประเทศไทยถอยไปอีก 6 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 110 โดนอินโดนีเซียและเวียดนามแซงหน้าไปแล้ว ยังดีที่รักษาอันดับเหนือกว่าฟิลิปปินส์ เมียนมาร์ และกัมพูชาได้
นี่ก็แปลก! ปราบโกงภาษาอะไรกันเนี่ย
ตอนรับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในการเป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” ศาลรัฐธรรมนูญก็ช่วยยืนยันสถานภาพว่าไม่เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” และการสั่งปิดเหมืองทองอัคราก่อนหน้านั้น ก็ไม่เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ”
แต่ตอนต้องไปต่อสู้คดีกับบริษัทคิงส์เกตในต่างประเทศ ดันเอาเงินหลวงไปใช้จ่ายสู้คดีกว่า 300 ล้านบาทได้อย่างไรในเมื่อไม่เป็น “เจ้าหน้าที่รัฐ” นี่ถ้าลมเปลี่ยนทิศ หลังลงจากหลังเสือไปแล้ว มีสิทธิจะโดนฟ้องร้องให้ชดใช้เงินหลวงไหมเนี่ย
ครับ เราอยู่ใน “โลกทิพย์” หรือ “โลกมายา” มาเกือบ 8 ปี ไม่เห็นอะไรเป็นของจริงสักอย่าง ที่เห็นก็ไม่ใช่ และที่ใช่ก็ไม่ได้เห็น น่าเสียดายเวลา โอกาส และประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองยิ่งนัก
เราเคยเห็นรัฐบาลที่ดีสร้างประโยชน์สุขแก่บ้านเมืองมาหลายรัฐบาลในอดีต
รัฐบาลพล.อ.เปรม ประหยัดมัธยัสถ์ รักษาวินัยทางการเงินการคลังเข้มข้น รักษานโยบายเงินบาทอ่อนเป็นอาวุธในการผลักดันการส่งออก และจุดประกายอนาคตประเทศในโครงการ “อีสเทิร์นซีบอร์ด” และโชติช่วงชัชวาลย์
รัฐบาลพล.อ.ชาติชาย เพียงแค่คำพูดคำเดียว “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า” ก็หมุนฟันเฟืองทุกตัวในบ้านเมือง นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ทั้งการค้าการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานน้ำ ไฟ ถนนหนทาง นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ แต่ก็โดนโค่นล้มด้วยข้อหา “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”
รัฐบาลทักษิณ ไม่ยอมให้ระบบราชการจูงจมูก ขอละเว้นจะกล่าว ณ ที่นี้ แต่ก็ประเมินได้จากผลงานการเลือกตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลที่ดี ชาติเจริญ รัฐบาลที่ไม่รู้อะไรดี ชาติถดถอย มองไม่เห็นอนาคต