พาราสาวะถี
ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรเร้าใจจนน่าติดตามเป็นพิเศษ
ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรเร้าใจจนน่าติดตามเป็นพิเศษ มีเพียงแค่วาทกรรมที่ทำให้เห็นว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ยังคงแสดงอำนาจบาตรใหญ่ วางกล้ามข่มขู่ข่มขวัญพรรคฝ่ายค้านตามความถนัด เมื่อพูดถึงตัวเองจะเล่นบทพระรามพระลักษณ์และให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นทศกัณฑ์ ถามว่าประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากการเปรียบเปรยเช่นนี้ มีแค่ความสะใจของคนที่พูดและกองเชียร์ก็เท่านั้น
ขณะเดียวกันก็มีการนำเอาเรื่องที่มีภาพ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทำท่าเหมือนนั่งหลับขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกำลังชี้แจงในสภา ไปถามท่านผู้นำ คำตอบที่ได้คือ “เขาคงเตรียมการข้อมูลดึกไปมั้ง นอนไม่หลับ ก็แล้วแต่ ท่าทีกิริยา สังคมเขาตัดสินกันเอง” เป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดีและไม่ควรที่จะถามเสียด้วยซ้ำ คนที่เป็นหัวหน้าของนักข่าวที่ถามก็ควรจะเรียกไปอบรมเพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประชาชน
ท้ายที่สุดก็จะถูกมองเป็นพวกชอบเสี้ยมหรือไม่ก็เป็นเครื่องมือในการทำไอโอของขบวนการสืบทอดอำนาจ ในการตั้งคำถามชงให้มีคนตอบเพื่อดิสเครดิตอีกฝ่าย น่าสมเพชต่อการทำหน้าที่แบบนี้ยิ่งนัก อย่างไรก็ตามการอภิปรายเที่ยวนี้ก็ทำให้สภาต้องเสียส.ส.ฝ่ายค้านไปอีก 1 ราย นั่นก็คือ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งกลางสภา ด้วยเหตุผลจุดยืนที่ต่างกันกับพรรคเพราะไปสนับสนุนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและรัฐบาล
ไม่มีอะไรซับซ้อน การร่ำไห้ของมิ่งขวัญก็เป็นการแสดงออกประสาคนที่อ่อนไหวในความรู้สึก ขณะที่เมื่อจับเอาคำพูดของเจ้าตัวก็เป็นที่รับรู้กันก่อนหน้านี้ว่า จะมีการประกาศลาออกเพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า หลังจากที่ได้ชิมลางทางการเมืองด้วยคะแนนนิยมส่วนตัวล้วน ๆ จนทำให้พรรคที่สังกัดมีส.ส.ในสภามาได้ถึงทุกวันนี้ เลือกตั้งมิ่งขวัญก็ยังเชื่อว่าตัวเองมีดีพอที่จะได้รับโอกาสกลับมาเป็นส.ส.อีกครั้ง ส่วนจะเป็นพรรคไหนนั้นรอกันอีกระยะ แต่รอบนี้ไม่โนเนมแน่นอน
การอภิปรายทั่วไปหนนี้ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศมาตั้งแต่ในมุ้งแล้วว่าจะให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงและข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง ตอบข้อสงสัยของฝ่ายค้าน คงจะมีการอาศัยบางจังหวะที่จะเข้าไปตอบด้วยตัวเองเพื่อเรียกเรตติ้ง แต่หากบรรยากาศยังคงเป็นไปเหมือนวันแรกไม่น่าจะมีอะไรที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงหลังการอภิปราย เว้นเสียแต่เสียงของส.ส.ที่เวลานี้กำลังระดมต่อรองเพื่อหวังใช้เป็นฐานกุมความได้เปรียบในการเปิดประชุมสมัยหน้า
ตามที่บอกไว้เปิดประชุมครั้งหน้าในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ มีวาระสำคัญคือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 อันถือเป็นกฎหมายสำคัญที่จะชี้ชะตาของรัฐบาลเรือเหล็ก ดังนั้นการที่รัฐบาลซึ่งมีปัญหาเสียงในสภาจากการขาดไป 18 เสียงของส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทยกลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า ทำให้เกิดการจับจ้องมองไปยังพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยว่ามีการรวบรวมเสียงส.ส.ทั้งของพรรคตัวเองและที่ดูแลกันในซีกฝ่ายค้านเพื่อใช้ในการต่อรองทางการเมืองหรือไม่
ยิ่งมีวลีทองจากปากของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ “หนูช่วยหน่อยนะ” ยิ่งเป็นฐานทำให้การข่าวที่แต่ละสำนักได้รับผ่านคุณแหล่งข่าวหรือรายงานข่าวมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก ล่าสุด โทนี่ วูดซัม ก็ปูดประเด็นนี้ว่ามีการฉีดวัคซีนส.ส.ฝ่ายค้านคนละ 20 ถึง 30 ล้านบาท เพื่อดึงเข้าไปเป็นพวกในการที่จะยกมือผ่านในสภา พร้อมกับข่าวที่ว่ามีส.ส.ของพรรคเพื่อไทยไปร่วมประชุมกับพรรคร่วมรัฐบาล และมีการดูแลกันเป็นรายเดือนเดือนละ 2 แสนบาทอีกต่างหาก
สิ่งที่โทนี่หรือ ทักษิณ ชินวัตร พูดมันย่อมถูกเชื่อมโยงไปกับข่าวที่ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ไปแสดงความมั่นใจต่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่ามีเสียงสนับสนุน 260 เสียงที่จะทำให้ท่านผู้นำและรัฐบาลมีเสถียรภาพ ประเด็นนี้เสี่ยหนูปฏิเสธที่จะตอบคำถามพร้อมกับออกตัวว่า “เคยเป็นลูกน้องท่านมาก่อน ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชา ท่านเคยมีพระคุณกับเราหลาย ๆ เรื่องในอดีต ฉะนั้นเราก็ยังมีความเคารพท่านอยู่ในฐานะผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ขอตอบโต้ใด ๆ”
ท่วงทำนองที่แสดงออกเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่คำตอบของเสี่ยหนูในเวลาต่อมากับคำถามของผู้สื่อข่าวประเด็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพูดถึงรามเกียรติ์ โดยบอกว่าตัวเองรับบทเป็น “นางสีดา” ไม่ใช่เรื่องของกลอนพาไปเป็นแน่ เพราะตามท้องเรื่องนั้นพระราม นางสีดา และทศกัณฑ์ หากเปรียบเทียบเป็นการเมืองไทยก็ต้องบอกว่าประหัตประหารกันจนกว่าจะมีการตายไปข้างหนึ่ง และกว่าพระรามจะคืนดีกับนางสีดาได้ก็เกิดเหตุการณ์สารพัด ซึ่งหากการเมืองไทยเป็นเช่นนั้นประชาชนคงจะลำบากกันอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในมุมของคอการเมืองต่างก็มองกันว่า การที่เสี่ยหนูชู 260 เสียงมาสร้างความมั่นใจให้กับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้น เพื่อจะดูอาการว่ารู้สึกอย่างไร ตามหมากกลซึ่งกุนซือคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทยอ่านเกมขาด นี่คือสัญญาณการต่อรองแบบเซียนเหยียบเมฆ การอยู่หรือไปหรือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้อยู่ที่พรรคแกนนำรัฐบาล หากแต่เป็นเรื่องของพรรคร่วมที่มีเสียงส.ส.มากเป็นอันดับสอง อยู่ที่ว่าคนเบื้องหลังนั้นต้องการจะให้ผลออกมาแบบไหน
วาทกรรมในอดีตที่ว่า “มันจบแล้วนาย” ยังคงสามารถนำมาใช้ได้กับการเมืองทุกยุคทุกสมัย รัฐบาลในค่ายทหารที่กุนซือของพรรคเสี่ยหนูเคยคว้าพุงปลาไปกินด้วยการใช้เสียงส.ส.เป็นตัวต่อรองคือบทพิสูจน์ที่ชัดเจน แต่ผลจากครั้งนั้นมันนำไปสู่การพลิกผันทางการเมืองในเวลาต่อมาจนเกิดการรัฐประหารรอบใหม่ทำให้เสียของ จึงเป็นบทเรียนของจอมวางแผนรายนี้เหมือนกัน นำไปสู่การประกาศเป็นการภายในเมื่อจะกดหรือบีบไข่แล้วต้องเอาให้สุด เพราะไม่รู้ว่าหลังเลือกตั้งครั้งหน้าชะตากรรมของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร ดังนั้นนาทีนี้กอบโกยได้ต้องเอาให้เต็มที่ แม้จะสอบตกหรือเป็นฝ่ายค้านต้องไม่อดอยากเหมือนที่ผ่านมา