พาราสาวะถี

เป็นที่แน่ชัดว่าสถานการณ์ของโควิด-19 มีแนวโน้มไม่สู้ดี จึงได้เห็นการแถลงของศบค.


เป็นที่แน่ชัดว่าสถานการณ์ของโควิด-19 มีแนวโน้มไม่สู้ดี จึงได้เห็นการแถลงของศบค.โดยผู้ช่วยโฆษก แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ เรียกร้องให้นักวิชาการที่แสดงความเห็นช่วยประกาศด้วยว่าเป็นความเห็นส่วนตัว โดยอ้างว่ากลัวประชาชนจะสับสน ความจริงปมเรื่องล็อกดาวน์แทบจะไม่มีอะไรที่ต้องเป็นกังวลต่อความเห็นที่เกิดขึ้น ในเมื่อฝ่ายกุมอำนาจก็ย้ำแน่ชัดไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด เพราะหมดปัญญาแล้วที่จะหาเงินมาเยียวยาและแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน

ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องทำใจยอมรับกันคือ จะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นต่อเนื่องต่อไปเช่นนี้ ท่ามกลางการป่าวประกาศของหมอการเมืองทั้งหลายว่าให้ประชาชนการ์ดอย่าตก ระมัดระวังตัวเองอย่างเต็มที่ ขณะที่วันนี้เชื้อโอมิครอนจากสายพันธุ์เดิม BA.1 ที่ว่าแพร่เชื้อเร็วแล้ว การพบสายพันธุ์ย่อย BA.2 กลับเร็วกว่า แต่หมอการเมืองทั้งหลายก็ยังยืนยันว่าความรุนแรงไม่ได้หนักไปกว่าสายพันธุ์เดิม ทว่าประชาชนจะทำใจเชื่อได้อย่างไรในเมื่อตัวเลขผู้เสียชีวิตจากที่ทรง ๆ ไปในทางลดลงช่วง 3-4 วันที่ผ่านมากลับเพิ่มขึ้น

จะอ้างว่าเป็นเพราะตัวเลขผู้ป่วยพบมากขึ้น จำนวนของผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตจึงต้องขยับตามมา มันก็จะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองรณรงค์แกมบังคับ คือให้ช่วยฉีดวัคซีนกันให้มาก ซึ่งที่ผ่านมาคนไทยก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้วยเหตุผลเชื่อในสิ่งที่หมอการเมืองทั้งหลายยืนยันฉีดแล้วลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ในเมื่อสายพันธุ์โอมิครอนไม่ได้รุนแรงเหมือนเดลต้า และมีการฉีดวัคซีนกันแล้ว ตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่ควรจะสูงตามจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น มันทำให้เกิดการย้อนแย้งกันในตัว

น่ากลัวกว่าโควิดสำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงเป็นเสถียรภาพของตัวเอง เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่าความมั่นคงในอำนาจจากที่ใครก็แตะไม่ได้ สั่นคลอนอย่างหนัก ตัวแปรสำคัญก็คือเสียงในสภา ที่ย้ำมาตลอดก็คือ ไม่ใช่การเขย่าจากพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. และ ธรรมนัส พรหมเผ่า หากแต่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเอง ชี้ชัดไปแล้วว่าภูมิใจไทยคือผู้กุมชะตากรรมของท่านผู้นำและรัฐบาลเรือเหล็ก 260 เสียงที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ยืนยันกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมีอยู่จริง

ถ้าไม่ใช่ผู้กุมความได้เปรียบ ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 สายตรงที่ปรึกษาคนสำคัญของพรรคภูมิใจไทยคงไม่กล้าประกาศว่าถ้ากฎหมายกัญชาไม่ผ่านที่ประชุมสภา พรรคจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล แม้ในเวลาต่อมาอนุทินจะเล่นบทพระเอกบอกเรื่องของกฎหมายยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ใช่เรื่องของพรรคและศุภชัย ชั้นเชิงทางการเมืองแบบนี้ต้องบรรดาพวกเขี้ยวลากดินเท่านั้นถึงจะทำแล้วดูเนียน

ขณะเดียวกัน ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแม้จะออกลูกขึงขังถามกลับนักข่าวในประเด็นนี้ว่าศุภชัยขู่ใคร แต่ก็ออกตัวทันทีทันใด รัฐบาลทำเต็มที่ครบขั้นตอนอยู่แล้ว เป็นเรื่องสภาพิจารณากันเอง “ถ้ารัฐบาลไม่สนับสนุนก็คงไม่เข้าสภา” คนที่ถึงขั้นต้องไปสะกิดหนูช่วยหน่อยนะ จะกล้าปากดีท้าทายไปเพื่ออะไร อยู่ที่ว่าจะต้องมาคำนวณต้นทุนที่จะต้องจ่ายกันอย่างไร เมื่ออีกฝ่ายเรียกร้องให้ทำตามที่ต้องการ ย่อมมีอีกฝ่ายที่ดีดลูกคิดแลกกับเสียงที่จะโหวตผ่าน งานนี้คนที่ยังต้องการไปต่อต้องเป็นฝ่ายควัก

ไม่เพียงเท่านั้น ประเด็นขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสีเขียวก็ถือเป็นตอชิ้นโตที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพยายามหาหนทางที่จะทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยชนิดบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น เมื่ออีกด้านมือที่ดันให้ครม.โหวตผ่านไม่ธรรมดา แต่อีกฝ่ายก็ฮึ่ม ๆ ไม่เอาด้วย และประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนแล้วว่าถ้าใช้วิธีการลงมติก็จะโหวตสวน คำถามต่อมาก็คือ ฝ่ายดันชนะครม.ผ่านทำให้การต่อสัมปทานเดินหน้า แต่อนาคตของท่านผู้นำและรัฐบาลไปต่อได้จริงหรือ ตรงนี้น่าเป็นห่วงมากกว่า

ปัญหาทางการเมือง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดก็ตามในยามที่คะแนนนิยมของคนเป็นผู้นำหรือทั้งคณะอยู่ในช่วงขาลงและเกิดความขัดแย้ง ทุกประเด็นที่เกิดขึ้นจะถูกโยงเข้าไปด้วยกันแทบทั้งสิ้น ปมของรถไฟฟ้าสายสีเขียวก็เช่นเดียวกัน ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่นอกเหนือจากพรรคสืบทอดอำนาจไม่ได้อยู่ในจังหวะที่ได้เปรียบหรือไม่ จึงทำให้การกำหนดวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ยังไม่สะเด็ดน้ำเสียที ล่าสุดยิ่งเห็นภาพชัดว่ามีการยื้อเวลาเรื่องนี้จริง

จากการที่ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำทีมหารือกับ กิตติพงษ์ บริบูรณ์ รองเลขาธิการกกต. เรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และนายกฯ เมืองพัทยา ที่ใช้เวลาคุยกันแค่ 10 นาที จับใจความสำคัญจากบทสัมภาษณ์ของฝ่ายกกต.ได้ว่า การที่จะกำหนดวันเลือกตั้งนั้นต้องรอมติครม. โดยที่ครม.จะพิจารณาได้ก็ต่อเมื่อกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้นำเสนอ แต่ยังไม่รู้ว่ากระทรวงมหาดไทยจะนำเสนอเมื่อไหร่

น่าสนใจ เพราะมท.1 เคยให้สัมภาษณ์อ้างว่า กระทรวงมหาดไทยต้องรอหารือกับทางกกต.ก่อน เหมือนการโยนกันไปมาเพื่อซื้อเวลา แต่หนนี้ทางกกต.ยืนยันว่ามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากร งบประมาณ โดยวันที่ 23 กุมภาพันธ์คณะทำงานจะหารือถึงการประสานงานเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เหมือนเป็นการตัดบทด้วยความรำคาญต่อท่วงทำนองของฝ่ายกุมอำนาจ เมื่อรองเลขาธิการกกต.ย้ำว่า จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งตามกรอบเวลา ขณะนี้ถึงระยะเวลาแล้วที่จะต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด

กกต.ประกาศความพร้อมแล้ว ต้องกลับไปสำรวจพรรคสืบทอดอำนาจว่าพร้อมหรือไม่ ถ้าหาตัวไม่ได้หรือกลัวว่าลงแล้วแพ้ก็ควรจะปล่อยผ่าน ให้ผู้สมัครอิสระและพรรคที่มีความพร้อมไปสู้กัน ผลออกมาอย่างไรก็ว่ากันไปตามนั้น อย่างไรเสียเมื่อผ่านการเลือกตั้งไปแล้วไม่ใช่ผู้ว่าฯ กทม.ลากตั้ง ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะต้องเลิกความคิดที่จะไปสั่งการ ครอบงำเหมือนตลอดเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมาได้แล้ว ผลเลือกตั้งซ่อมเขต 9 บ่งชี้ชัดว่า คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไร ถ้าคิดว่าจะดีจะชั่วยังไงพวกที่หลับหูหลับตาเชียร์ที่เสียงดังก็เป็นปากเป็นเสียงแทนให้ กลัวอะไร จะต้องยื้อการเลือกตั้งไปเพื่ออะไร

Back to top button