พาราสาวะถี

จับตาการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันนี้ จะมีการเคาะมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นต่อเนื่อง


จับตาการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันนี้ จะมีการเคาะมาตรการเข้มงวดเพิ่มเติมหรือไม่ หลังจากที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นต่อเนื่อง ยอดรวมในแต่ละวันตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมผลตรวจ ATK แล้ว สูงถึงวันละ 3 หมื่นกว่าคน ไม่ใช่ท่องคาถาว่าโอมิครอนแพร่เร็วแต่ไม่รุนแรงจึงไม่จำเป็นต้องวางมาตรการคุมเข้มใด ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะโกยเงินจากการท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด นั่นกำลังแสดงให้เห็นว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกำลังหน้ามืด ให้ความสำคัญของรายได้ภาครัฐมากกว่าความปลอดภัยของประชาชน

ส่วนหมอการเมืองทั้งหลายก็ท่องได้แต่บทมีหน้าที่รายงานสถานการณ์ ส่วนการตัดสินใจขึ้นอยู่กับที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งก็รู้อยู่ว่าใช้ความมั่นคงนำการแพทย์ เวลานี้ยิ่งมีความมั่นคงในอำนาจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นสำคัญ ทั้งที่ความจริงแล้วสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่เริ่มต้น กระบวนการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาทั้งหมด กระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ควรมีบทบาทนำ

ทั้งนี้ สถานการณ์จนถึงเวลานี้บอกได้เลยว่าน่าเป็นห่วง อ่านสัญญาณได้จากการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและครม.สั่งให้กระทรวงสาธารณสุขชะลอการยกเอาโควิด-19 ออกจากการเป็นโรควิกฤตฉุกเฉินหรือยูเซ็ปไปก่อน ทั้งที่ อนุทิน ชาญวีรกูล เพิ่งให้สัมภาษณ์ล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนประชุมครม.ว่าได้มีการลงนามไปแล้วและจะมีผลในวันที่ 1 มีนาคมนี้ นั่นเป็นเพราะว่าจำนวนของผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง หากดำเนินการตามนั้น จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน

ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพ หรือ สปสช. ที่ระบุถึงผู้ป่วยที่โทรศัพท์เข้าไปยังสายด่วน 1330 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันเดียวมากถึง 49,500 สาย และต้องใช้เวลารอสายวินาทีละ 50 สาย สูงสุดเป็นประวัติการณ์มากกว่าในช่วงที่เดลต้าระบาด คือเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ที่แม้จะมีคนโทรเข้าไปมากก็ไม่เกิน 3 หมื่นรายต่อวันเท่านั้น ข้อมูลตรงนี้เป็นสิ่งที่ศบค.ต้องนำไปวิเคราะห์และแก้ปัญหาให้ตรงจุด

โดยที่หมออาชีพ นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้แนะนำซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด นั่นก็คือ ประเทศไทยควรเปลี่ยนเป้าหมายจากการลดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นการลดจำนวนผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตหลังการติดเชื้อมากกว่า ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องตัวเลขที่มันจะพุ่งขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

เพราะความเป็นจริงของสถานการณ์เวลานี้ก็คือ การป้องกันการติดเชื้อทำได้ยาก เนื่องจากเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนไม่ว่าจะ BA.1 หรือ BA.2 ติดกันง่ายมาก แพร่ทางอากาศ อย่างเก่งทำได้แค่ชะลอเวลาติดเชื้อออกไประยะหนึ่ง เมื่อเลือกที่จะใช้วิธีการแบบนี้ก็ต้องใช้เวลานี้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการรีบฉีดวัคซีนให้คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว และฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้คนที่ได้รับวัคซีน 2 เข็มไปแล้ว หมอการเมืองทั้งหลายยืนยันเองว่า สู้กับโอมิครอนสองเข็มเอาไม่อยู่

จุดชี้วัดว่าจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นจะตามมาด้วยป่วยหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นหรือไม่มันอยู่ตรงนี้ ซึ่งถึงขณะนี้ตามข้อมูลของศบค.ก็เห็นชัดว่ามีการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ได้เพียงแค่ร้อยละยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น ยังห่างไกลจากจุดที่สร้างความปลอดภัยให้กับกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม 608 เหตุผลสำคัญคือ ที่ผ่านมามัวแต่เร่งที่จะฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายคือ 100-120 ล้านโดส โดยลืมไปว่าหลังจากฉีดเข็มสองแล้ว ระยะเวลาที่จะต้องบูสต์เข็มสามนั้นต้องมีอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไป

ทำให้เวลานี้กลุ่มเสี่ยง 608 ที่ฉีดวัคซีนไปสองเข็มแล้ว แต่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็ม 3 ตกอยู่ในภาวะกังวลเป็นอย่างมาก เมื่อภาครัฐไม่ได้มีมาตรการเข้มงวดเหมือนที่ผ่านมา หมายความว่าโอกาสที่กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จะได้รับเชื้อจากคนใกล้ตัวหรือการแพร่ระบาดภายในครอบครัวก็มีมากขึ้น เมื่อกิจกรรมทุกอย่างดำเนินการไปแทบจะปกติ คนหนุ่มสาว คนวัยทำงานก็ต้องออกไปทำงานหรือเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็เท่ากับเพิ่มโอกาสในการรับเชื้อไปแพร่ต่อภายในครอบครัวได้ง่ายมากขึ้น

ยังมีประเด็นที่เป็นความเห็นจากนายแพทย์มนูญที่น่าสนใจอีกประการคือ ขณะที่หมอการเมืองทั้งหลายเน้นหนักไปที่วัคซีนโดยเฉพาะเข็ม 3 แต่กลับไม่มีใครพูดถึงเรื่องยาที่จะนำมารักษาผู้ติดเชื้อ ซึ่งในความเห็นของหมออาชีพมองว่า สำหรับคนกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อโควิด-19 และยังไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือยังฉีดไม่ครบ กลุ่มนี้ควรจะได้รับยาต้านไวรัสชนิดกิน Paxlovid ไม่ใช่ยาฟาวิพิราเวียร์ รีบให้ทันทีภายใน 5 วันที่เริ่มมีอาการ จะสามารถลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ร้อยละ 90

ปัญหาคือ ยานี้ยังไม่เข้าประเทศไทย ต้องรออย่างน้อยอีก 2-3 เดือนข้างหน้า กว่าบริษัทยาจะผลิตยาได้มากเพียงพอสำหรับความต้องการของทุกประเทศ เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะต้องไล่บี้ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบดูแลกระทรวงคุณหมอ ไปดำเนินการให้รอบด้าน ครอบคลุม ระบบสาธารณสุขที่ยืนยันกันมาตลอดว่ารับมือได้ เวลานี้เริ่มมีข่าวมีภาพจิตอาสาต้องไปไล่เก็บผู้ป่วยตามข้างถนนเพื่อเข้าสู่ระบบรักษามันคืออะไร

อย่าให้ภาพเดิม ๆ กลับมาหลอกหลอน จนสุดท้ายก็ใช้ไอโอบ้องตื้นกล่าวหาแบบหน้าด้าน ๆ ว่ามีการตัดต่อภาพหวังดิสเครดิตรัฐบาล ทว่าจนถึงวันนี้ยังไม่เห็นมีการดำเนินการเอาผิดใครแม้แต่รายเดียวที่ไปโจมตีว่าตัดต่อภาพคนติดโควิดตายข้างถนน คำตอบง่าย ๆ สำหรับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่นั่งหัวโต๊ะถกเรื่องโควิดต่อการตัดสินใจเพิ่มมาตรการต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดยยกประเด็นทางเศรษฐกิจทิ้งไปก่อนก็คือ การกลับมาประกาศยกระดับเตือนภัยทางสาธารณสุขที่ระดับ 4 อีกครั้งของกระทรวงคุณหมอ แค่นี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าสถานการณ์มันปกติ น่าไว้วางใจได้หรือไม่

Back to top button