พาราสาวะถี

ผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันพุธที่ผ่านมา ไม่มีอะไรหวือหวา ไร้การยกระดับมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดจะทะลุหลัก 2 หมื่นราย


ผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่วันพุธที่ผ่านมา ไม่มีอะไรหวือหวา ไร้การยกระดับมาตรการเฝ้าระวังโควิด-19 แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดจะทะลุหลัก 2 หมื่นรายไปแล้ว ไม่นับรวมกับที่ตรวจ ATK อีกกว่า 1.6 หมื่นราย นั่นเป็นเพราะเป้าหมายของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคือ หวังจะกอบโกยเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว ชดเชยความไร้ปัญญาที่จะหาเงินของรัฐบาล อันจะเห็นได้จากที่ประชุมมีมติเลิกการตรวจโควิดแบบ RT-PCR กับนักท่องเที่ยวแบบเทสต์ แอนด์ โก ในวันที่ 5 เป็นตรวจ ATK แทน

นอกจากนั้นยังมีการลดวงเงินประกันสุขภาพผู้เดินทาง เดิมกำหนดจะต้องมีวงเงินครอบคลุมการรักษามากกว่า 50,000 เหรียญสหรัฐ ปรับเป็นเหลือวงเงินมากกว่า 20,000 เหรียญสหรัฐ ยืนยันเองจาก อนุทิน ชาญวีรกูล เหตุที่ต้องผ่อนคลายกันขนาดนี้เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยอ้างให้เศรษฐกิจเดินได้ และยกเอาตัวอย่างการเปิดกว้างของหลายประเทศมาเทียบเคียง แต่ก็น่าคิดไม่น้อยผ่อนคลายต่างชาติแล้วให้คนไทยเข้มงวดกันเองใช่หรือไม่

เพราะประโยคต่อมานักเลือกตั้งที่คุมหมอการเมืองก็บอกเองว่า ขอให้คนไทยปรับพฤติกรรมให้มากที่สุด และขอฉีดวัคซีนมาก ๆ ปาร์ตี้ให้น้อย หลีกเลี่ยงอยู่กับผู้คนในสถานที่แออัด เพราะถ้าจะกดให้เป็นศูนย์จะต้องล็อกดาวน์ แต่เราเลยจุดนั้นมาแล้ว ความจริงสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ระวังตัวเองเป็นอย่างดี สงสัยรัฐมนตรีรายนี้จะลืมไปแล้วกระมัง ต้นตอการระบาดระลอกที่ 3 เลขาธิการพรรคของตัวเองที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญก็มีส่วนเกี่ยวข้องเต็ม ๆ

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ตัดสินใจยกระดับมาตรการเฝ้าระวังนั้น คงเป็นข้อมูลเชิงวิชาการจากบุคลากรด้านการแพทย์มากกว่า ที่ระบุแทบจะตรงกันว่า โควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่ระบาดอยู่เวลานี้ไม่รุนแรง โดยที่องค์การอนามัยโลกก็เพิ่งชี้โอมิครอน BA.2 แม้จะแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ BA.1 แต่จากการพิจารณาของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญถึงข้อมูลตัวอย่างผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.2 จากหลายประเทศ ไม่พบความรุนแรงที่แตกต่างหรือมากไปกว่าสายพันธุ์ BA.1 แต่อย่างใด

ไม่เพียงเท่านั้น นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้คาดการณ์สถานการณ์การระบาดไว้ด้วยว่า ระหว่างนี้จนถึงเดือนเมษายน หากเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อเนื่อง เชื่อได้ว่าเมษายนปีนี้น่าจะต่างจากปีที่แล้ว เพราะปีที่ผ่านมายังฉีดวัคซีนน้อยมาก แต่ปีนี้ได้รับวัคซีนเข็มแรกเกิน 70% ขณะที่เข็มกระตุ้นก็เกิน 25% สงกรานต์ปีนี้จะต่างออกไป แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะออกไปเล่นสาดน้ำได้ เพียงแต่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนา รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ตามประเพณีได้อย่างปลอดภัย

ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่ทำให้หมอการเมืองสามารถจะรายงานสถานการณ์และไม่ต้องเสนอให้ศบค.ยกระดับมาตรการคุมเข้มรับมือกับตัวเลขของผู้ป่วยที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งความเห็นของหมออาชีพส่วนใหญ่ก็แทบจะมองไปในทิศทางเดียวกันนั่นก็คือ จากนี้ไปจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือไม่เกินกลางมีนาคม ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะไต่ระดับขึ้นไปที่ภาษาทางการแพทย์เรียกว่าขาขึ้นที่มีความชันมาก จนไปถึงระดับพีก จากนั้นก็จะลดลง ปลายมีนาคมหรือต้นเมษายนสถานการณ์น่าจะสงบถ้าไม่มีการกลายพันธุ์อีก

แม้ทั้งหมออาชีพและหมอการเมืองจะฉายภาพให้เห็นแนวโน้มของสถานการณ์ที่มีความหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ในส่วนของภาคประชาชนคงจะเบาใจหรือไว้วางใจกันไม่ได้ การดูแลป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะข้อมูลทางวิชาการยังมีน้อยมากเกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวด้านสุขภาพของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 หรือที่เรียกกันว่าลองโควิด ดังนั้นการตั้งการ์ดสูงจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น เช่นเดียวกันกับการดิ้นรนเลี้ยงปากท้องแม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการรับเชื้อก็ตาม

การเมืองมุมของแกนนำนักเคลื่อนไหวคนรุ่นใหม่อย่าง “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ กับ อานนท์ นำภา ที่ถูกคุมขังในเรือนจำ กลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังจากที่ศาลอาญาและศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองคนที่มีคดีคนละ 8 และ 9 คดีตามลำดับ โดยใช้วงเงินประกันรวมกันสองคนกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งก็มีการเปิดระดมทุนกันในคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมงมีคนแห่บริจาคกันถึง 10 ล้านบาท

ทว่าในวันรุ่งขึ้น กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของทั้งคู่ เปิดเผยว่า ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งยกคำร้อง โดยไม่อนุญาตให้ประกันตัวของทั้งสองคนในคดีการชุมนุมที่อยู่ในศาลอาญากรุงเทพใต้คนละ 1 สำนวน ในส่วนสำนวนของเพนกวินแเม้ศาลยกคำร้องเเต่มีคำสั่งให้นำเอกสารเรื่องการเล่าเรียนศึกษามายื่นต่อศาล เพื่อพิจารณา ส่วนอานนท์ศาลยกคำร้องในเหตุผลที่ว่าจะออกไปประกอบอาชีพทนายความเพื่อเลี้ยงดู ดูเเลครอบครัว โดยระบุว่ายังไม่เป็นเหตุเปลี่ยนเเปลงคำสั่ง

นั่นคงไม่ใช่ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ สิ่งที่ถูกจับจ้องกันเป็นพิเศษคือ เหตุใดทันทีที่กองทุนราษฎรประสงค์ได้มีการประกาศระดมทุน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาศาลยุติธรรม เลขที่บัญชี 086-2-70434-7 ชื่อบัญชี ชลิตา บัณฑุวงศ์ และ ไอดา อรุณวงศ์ จึงมียอดโอนพุ่งไปถึง 10 ล้านบาทภายใน 3 ชั่วโมง ทันทีทันใดก็ถูกไอโอของฝ่ายเชลียร์ผู้กุมอำนาจตั้งคำถามว่า มีนายทุนรายใหญ่อยู่เบื้องหลังหรือไม่

ทำให้ ชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้ที่มีชื่อในบัญชีที่เปิดรับบริจาค ต้องโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้แจงและมีประเด็นต้องให้ขีดเส้นใต้ #กองทุนราษฎรประสงค์ แนวปะทะใหม่ของการท้าทายชนชั้นนำโดยประชาชน” พร้อมระบุว่า ยอดเงินสิบล้านที่เข้ามาในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง หากพิมพ์ statement รายการเงินโอนคงใช้กระดาษ 2-3 รีม

พร้อมทั้งการแชร์ที่มาของการตั้งกองทุนดังกล่าว เพื่อที่จะอธิบายข้อสงสัยของคนที่เกิดคำถามทำให้เกิดความเข้าใจว่าทำไมประชาชนถึงระดมกันบริจาคกันขนาดนี้ เพราะกองทุนราษฎรประสงค์มีสถานะเป็นช่องทางที่ผู้ชุมนุมโดยเฉพาะที่เป็นคนทั่วไป ใช้ในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงเป็นช่องทางที่คนเหล่านั้นใช้ในการแสดงความไม่ยอมจำนนต่อความอยุติธรรมที่ชนชั้นนำยัดเยียดให้ นี่แหละคือโจทย์ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องตีให้แตก อ้างกฎหมายแต่ไร้ความยุติธรรมทำยังไงสามัคคีก็ไม่เกิด

Back to top button