พาราสาวะถีอรชุน
เป็นประธานการประชุมแม่น้ำ 5 สายโดยใช้ห้องประชุมรัฐสภาแจกแจงความในใจ หลายคนคิดว่าจะมีเรื่องใหม่แต่พอได้ฟัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใส่อารมณ์ต่อคำพูดที่บอกกล่าวเหล่าสมาชิกที่แต่งตั้งมากับมือแล้ว ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าเรื่องเดิมทั้งสิ้น ที่ยังเป็นแผ่นเสียงตกร่องและได้ยินกันอยู่เป็นประจำคือไม่ได้อยากมานั่งในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.
เป็นประธานการประชุมแม่น้ำ 5 สายโดยใช้ห้องประชุมรัฐสภาแจกแจงความในใจ หลายคนคิดว่าจะมีเรื่องใหม่แต่พอได้ฟัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ใส่อารมณ์ต่อคำพูดที่บอกกล่าวเหล่าสมาชิกที่แต่งตั้งมากับมือแล้ว ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าเรื่องเดิมทั้งสิ้น ที่ยังเป็นแผ่นเสียงตกร่องและได้ยินกันอยู่เป็นประจำคือไม่ได้อยากมานั่งในเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.
แต่ความจำเป็นที่ทำให้ต้องออกโรงคือเรื่องของความขัดแย้งและสร้างความปรองดอง พร้อมกับพูดถึงการดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองด้วย โดยประเด็นนี้ต้องมองให้ดีพวกที่ชอบดึงฟ้าต่ำ มักจะเป็นกลุ่มที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้อำนาจหรือไม่ก็ทำลายความชอบธรรมของฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สนใจว่าวิธีการที่ใช้นั้นจะสกปรกโสมมอย่างไร
กรณีการกล่าวหาว่าด้วยมาตรา 112 ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรง หากบิ๊กตู่ยังความจำเป็นเลิศต้องย้อนกลับไปคราวรัฐบาลเทพประทานกับเรื่องผังล้มเจ้ากำมะลอ หรือถ้าลืมไปแล้วก็ลองไปสะกิดถาม สรรเสริญ แก้วกำเนิด น่าจะอธิบายขยายความได้เป็นอย่างดี ปมเช่นนี้มีข้อคำถามว่า ผู้มีอำนาจสมควรจะไปไล่เบี้ยเอาผิดหรือไม่ เพราะเป็นการกล่าวหาคนอื่นด้วยกฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงโดยปราศจากข้อเท็จจริง
สิ่งเหล่านี้ถ้าทำได้ มันจะเป็นบทพิสูจน์คำพูดของหัวหน้าคสช.ที่ยอมรับว่าไม่มีอะไรที่เท่าเทียมกัน แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันคือกฎหมาย ดังนั้น ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คำพูดนี้คนส่วนใหญ่คุ้นกันเป็นอย่างดีว่าเป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีจอมหลักการ แต่วันเวลาและสถานการณ์ที่ผ่านไป ทำให้ได้รู้ว่า วาทกรรมที่พ่นมาจากปากนั้นไม่ต่างอะไรกับการผายลม
ไม่ว่าจะเป็นคดีสปก.4-01 ปรส.จนมาถึงโรงพักร้าง ต่างเป็นบทพิสูจน์เจ้าของคำพูดที่ว่าทุกคนต้องเท่าเทียมกันทางกฎหมายได้อย่างเด่นชัดที่สุด และด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าไม่ทราบที่กลายเป็นตราบาปให้บางพรรคการเมืองต้องไปนั่งจมจ่อมเป็นฝ่ายค้านดักดานนานกว่า 20 ปี หนทางที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้บริหารประเทศได้เลยต้องไปอิงแอบกับอำนาจนอกระบบ
อีกเรื่องที่ท่านผู้นำประกาศกลางแม่น้ำ 5 สายหากทำได้จะถือเป็นคุณูปการมหาศาลกับบ้านเมืองนั่นก็คือ เรื่องการเสียภาษีของภาคธุรกิจ ข้อมูลที่ท่านว่า ประชาชนที่ประกอบธุรกิจกว่า 1 ล้าน 5 แสนราย มีการเสียภาษีเพียงแค่ 6 แสนราย จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องวางแผนต่อไปว่า จะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าสู่ระบบการจัดเก็บภาษี
ถ้าจะเล่นเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง คงต้องฝากว่าเรื่องจำนวนของผู้ประกอบการนั้นไม่ใช่สาระสำคัญ หากแต่หัวใจคือ บรรดารายใหญ่ทั้งหลายได้เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยเมื่อเทียบกับผลประกอบการที่ได้รับหรือเปล่า การเล่นแร่แปรธาตุเพื่อให้ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินเข้าคลังเหมือนกับราษฎรเต็มขั้นที่ต้องเสียทุกเม็ดทุกหน่วยนั้น คนอย่าง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ช่วยบิ๊กตู่คิดหน่อยได้ไหมว่า เขาหลีกเลี่ยงกันแบบไหนและจะอุดช่องโหว่กันอย่างไร
ส่วนกรณีที่ว่าด้วยการถูกโจมตีในปมสืบทอดอำนาจ ที่ทำให้องค์รัฏฐาธิปัตย์รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญหัวใจ พร้อมกับต้องประกาศแบบขึงขังทุกครั้งไม่อยากมายืน ณ จุดนี้ คงต้องให้บรรดาลิ่วล้อที่เกี่ยวข้องทั้งกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญและวางแนวทางปฏิรูปคิดเหมือนอย่างที่ท่านว่าด้วย คนส่วนใหญ่เขาถึงจะเชื่อ
ล่าสุดมาถึงข้อเสนอของ ประพันธ์ นัยโกวิท ในฐานะประธานอนุกรรมการว่าด้วยการปรับโครงสร้างฝ่ายนิติบัญญัติ เกี่ยวกับการเลือกตั้งส.ส. โดยจะให้ใช้บัตรเลือกตั้งเพียงใบเดียวเลือกส.ส.ระบบเขต คนที่ชนะก็ได้เป็นส.ส.ไป ส่วนคะแนนของผู้แพ้ตั้งแต่อันดับ 2 ลงไปจะถูกนำไปกองรวมเป็นคะแนนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
นัยว่าเพื่อเปิดโอกาสให้พรรคเล็กพรรคน้อยได้มีที่ยืนในสภา แต่ปัญหาที่ยังไม่ต้องไปถามถึงรายละเอียดก็คือ หมายความว่า พรรคที่ไม่ได้ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์นี้ด้วยใช่หรือไม่ เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบไหนดี คนที่ไม่ลงทุนลงแรงก็ได้ส่วนแบ่งกับเขาด้วย แต่ถ้าพรรคที่ไม่ส่งก็ไม่ได้ แล้วพรรคเล็กที่ไหนจะมีปัญญาส่งส.ส.เขตได้ครบทั้งประเทศ เดินตามสูตรนี้มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง ทว่าน่าจะเป็นทางออกเดียวที่คิดกันได้เพื่อบอนไซพรรคการเมืองใหญ่เป้าหมายคือเพื่อไทย
ที่พลอยฟ้าพลอยฝนซวยไปด้วยอย่างหนักหนีไม่พ้นประชาธิปัตย์ เพราะเมื่อคลี่เขตเลือกตั้งหากยึดกันแบบเดิมๆ พรรคนายใหญ่มีโอกาสได้ส.ส.เขตแบบเป็นกอบเป็นกำเหมือนเดิม ส่วนพรรคเก่าแก่มีแต่จะเสียหาย ด้วยเหตุนี้ สดศรี สัตยธรรม อดีตกกต.จึงต้องออกมาแสดงความเป็นห่วง ประการแรกคือ พรรคการเมืองขนาดใหญ่คงไม่ยอมรับแนวทางนี้
อันเนื่องมาจากเจตนารมณ์ของแนวคิดนี้ชัดเจนว่าเป็นการป้องกันพรรคการเมืองใหญ่ ที่เคยได้คะแนนเสียงข้างมากในการบริหารงานอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลผสมมากกว่า 10 พรรคขึ้นไป แน่นอนว่า จะส่งผลทำให้การเลือกนายกฯเป็นไปได้ยาก ด้วยเหตุนี้เราจึงจะได้เห็นช็อตต่อไปของร่างรัฐธรรมนูญที่จะกำหนดให้นายกฯมาจากคนนอก
ความพิสดารของร่างรัฐธรรมนูญที่เริ่มปรากฏให้เห็น ยังมีประเด็นที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส. ต้องมีคะแนนมากกว่าโหวตโนถึงจะได้เป็นส.ส. ถ้าหากแพ้คะแนนเสียงโหวตโน จะไม่มีสิทธิกลับมาลงสมัครรับเลือกตั้งอีก เป็นการตัดสิทธิเลือกตั้งของผู้สมัครส.ส.ไปโดยปริยาย เลยไม่รู้ว่ายึดหลักประชาธิปไตยแบบไหนกัน
ปมตรงนี้สดศรีมองว่าการนำโหวตโนมาคำนวณเพื่อตัดสิทธิผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงข้างมากนั้น นานาประเทศไม่มีใครเขาทำกัน เพราะจะทำให้เกิดความวุ่นวาย นักการเมืองหลายฝ่ายคงไม่เห็นด้วย และเมื่อออกมาเป็นกฎหมายและทำประชามติ คงจะผ่านไปได้ยาก ไม่รู้ว่านี่เป็นการโยนหินถามทางหรือเปล่า แต่หากจะเอาตามนั้นจริงๆ จุดจบคงไม่ต่างจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับดอกเตอร์ปื๊ด