Believe it or Not!โมนิก้าและทีมงาน

*เชื่อหรือไม่ว่า..พฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับชาวหุ้นบางส่วนไปเสียแล้ว เพราะปากก็พร่ำบอกเป็นจังหวะของการลงทุน แต่พอเผลอไผลคล้อยตามกันไปเรื่อยๆ กลับโดนสาดหุ้นใส่เป็นประจำ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองพิจารณาข้อมูลที่หยิบยกให้ดูบางส่วน เพื่อให้คุณท่านหลานเธอได้เห็นเกมการเงินที่โหดขึ้นเรื่อยๆ ไงล่ะค่ะ


 *เชื่อหรือไม่ว่า..พฤติกรรมของนักลงทุนสถาบันกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับชาวหุ้นบางส่วนไปเสียแล้ว เพราะปากก็พร่ำบอกเป็นจังหวะของการลงทุน แต่พอเผลอไผลคล้อยตามกันไปเรื่อยๆ กลับโดนสาดหุ้นใส่เป็นประจำ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับลองพิจารณาข้อมูลที่หยิบยกให้ดูบางส่วน เพื่อให้คุณท่านหลานเธอได้เห็นเกมการเงินที่โหดขึ้นเรื่อยๆ ไงล่ะค่ะ

*งานนี้อย่าหาว่า “โมนิก้า” ชอบแส่เรื่องลับๆ ล่อๆของคนในวงการตลาดหุ้นเลย เพราะมันเป็นหน้าที่ในการทำให้เรื่องต่างๆ ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม จึงอยากให้แมงเม่ากลั่นกรองข้อมูลที่เดี๊ยนแอบได้ยินมา เพราะบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เม้าท์กันลอยๆ แต่บางครั้งก็ดูเหมือนว่า เรื่องเม้าท์ดังกล่าวน่าจะเป็นจริง เดี๊ยนถึงต้องมีอาการตื่นตัวตลอดเวลา เพื่อเปิดใจรับข้อมูลใหม่ๆ นะจะบอกให้

*เนื่องจากข่าวสารใหม่ๆ เริ่มพรั่งพรูเข้าในตลาดหุ้นอีกระลอก ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้หุ้นหลายตัวแกว่งตัวสะเปะสะปะ และทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,409.26  จุด ลบไป 14.79 จุด ด้วยมูลค่า 5.18 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” ถึงพุ่งเป้าไปยังนักลงทุนสถาบันเป็นลำดับแรก เพราะเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยย่ำแย่อีกครั้ง..จริงหรือไม่ ดูได้จากข้อมูลด้านล่างเจ้าค่ะ

                *โดยเฉพาะยอดขาย 2 พันล้านบาทที่ออกมาจากกองทุน มันเป็นภาพเดิมๆ ที่กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง และทำให้เดี๊ยนรู้สึกไม่ไว้ใจนักลงทุนกลุ่มนี้อีกครั้ง (ก่อนหน้านี้เริ่มมีมุมมองที่ดีขึ้น) ส่วนการเทขายของปอบผีฟ้าที่มีเป็นจำนวน 1.60 พันล้านบาท ก็ไฟต์บังคับที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ (ก็ชอบเล่นสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) ขณะที่ฝรั่งตาน้ำข้าวสาดหุ้นออกมา 1 พันล้านบาท ก็เป็นจังหวะของการไหลตามน้ำธรรมดา ส่วนแมงเม่าก็ชอบเป็นชาวสวนอยู่แล้ว จึงกวาดหุ้นไปทั้งสิ้น 4.76 พันล้านบาทไงล่ะค่ะ

*สิ่งที่ต้องคิดต่อมาคือ หุ้นน้องใหม่ LPH จะยืนหยัดได้นานเพียงใด เพราะเป้าหมายที่เกจิอาจารย์ดังให้ไว้ก็อยู่พอๆ กับราคาปิดที่ 7.10 บาท บวกไป 2.10 บาท หรือขึ้นไป 42% ด้วยมูลค่า 5.10 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถึงไม่รู้ว่า วันนี้หุ้นจะฝ่ากระแสความวิตกกังวลเรื่องต่างๆ ขึ้นไปได้อย่างไร? วันนี้ถึงต้องหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน เพราะไปคิดทีหลังอาจสายเกินแกงก็ได้นะคะ

*เหมือนกับในรายของ SCI ซึ่งเป็นหุ้นที่ค่อนข้างป๊อบปูล่าร์ในสายตา “โมนิก้า” พอมีข่าวลือออกมาเป็นระรอกเกี่ยวกับก๊วนอาจารย์เพชรเข้ามาเกี่ยวข้อง เดี๊ยนถึงกับมีอาการหน้าชาไปชั่วขณะ เพราะใครก็รู้ว่า ก๊วนนี้โหดขนาดไหน? บวกกับวานนี้หุ้นสวนกระแสขึ้นมาปิดที่ 10.80บาท บวกไป 1.15 บาท หรือขึ้นไป 12% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.20 พันล้านบาท ยิ่งทำให้น้ำหนักเรื่องดังกล่าวน่าเชื่อถือมากขึ้น เดี๊ยนเลยขอถอยออกมาก่อน เพื่อเช็คข้อมูลให้แน่ใจว่า มีใครเข้ามาเล่นกันบ้างเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ AJD หากดูตามหน้าเสื่อที่ปูกันมาเป็นเวลาหลายเดือน บวกกับมีนักลงทุนรายใหญ่เข้ามาเป็นแบ็คอัพให้อีกทอดหนึ่ง ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องติดตามดูกันต่อไปเรื่อยๆ หากทำได้ตามแผนงานที่วางไว้ บริษัทจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยเฉพาะความคืบหน้าหลังจากเซ็น MOU กับ ACAP เพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับคนที่จะซื้อตู้ “เติมสบาย พระเอกตัวจริง” คือแรงขับที่จะทำให้หุ้นทะยานขึ้นไปแตะ 2 บาท หลังจากหุ้นเด้งรับข่าวมาปิดที่ 1.61บาท บวกไป 0.09บาท หรือขึ้นไป 5.90% แล้วนะซี

*เหมือนกับในรายของลีสซิ่งชั้นนำของประเทศอย่าง SAWAD จู่ๆ กระชากขึ้นมาปิดที่ 42.25บาท บวกไป 1.25บาท หรือขึ้นไป 3% ด้วยมูลค่า 670 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นช็อตเด็ดที่แฟนคลับตามทันอยู่แล้ว บวกกับหัวเรือใหญ่แสดงความมั่นใจต่อสาธารณชนว่า ตัวเลขปี 58 โตอย่างต่ำ 40% พวกนกรู้เลยกระโจนใส่กันอย่างเมามัน ส่วนจะเป็นจริงเหมือนที่เม้าท์ให้ฟังไหม? อีกไม่กี่วันก็เห็นสัญญาณแล้วเจ้าค่ะ

*อีกหนึ่งรายที่มาทรงเดียวกันก็คือ TASCO กูรูหลายสำนักเริ่มร้องทัก แพง..แพง..แพง กันระงมขนาดไหน! หุ้นก็ยังไปได้เรื่อยๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับพิจารณากันเอาเองว่า หุ้นขึ้นมาปิดที่ 43 บาท บวกไป 0.75 บาท ด้วยมูลค่า 570 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่อยู่บน ค่า P/E ที่ 20 เท่า และค่า P/BV ที่ 8 เท่า พร้อมกับมีคำถามเกิดขึ้นว่า ปีหน้าจะไม่พีคเหมือนปีนี้..มันใช่จุดที่ต้องเลิกเล่นแล้วจริงไหม?

*ส่วนหุ้นที่งานเข้าอย่าง SAMART และ SAMTEL เป็นอะไรที่ช็อคสังคมชาวหุ้นมากพอสมควร เพราะไปเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้นักลงทุนเกิดอาการตื่นตระหนก และนำไปสู่การเทขายหุ้นกันอย่างหนัก จนหุ้นลงมากองอยู่ที่ 21.10บาท ลบไป 2.10บาท หรือลงไป 9% ด้วยมูลค่า 2.50 พันล้านบาท ส่วนตัวลูกปิดที่ 19.60 บาท ลบไป 0.90 บาท หรือลงไป 4.40% ด้วยมูลค่า 128 ล้านบาท เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่า นี่คือหุ้นอันตรายที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวนะคะ

*ป.ล.ทั้งหลายทั้งมวลเป็นเรื่องที่มีที่มาที่ไปหลากหลาย ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ เพราะห้วงเวลานี้เป็นจังหวะของการใช้ความคิดล้วนๆ ยิ่งดัชนีลงมาใกล้ๆ 1,400 จุด ยิ่งต้องถามใจตัวเองว่า ดัชนีจะดีดกลับได้ไหม?

Back to top button