IRPC ราคาต่ำกว่าบุ๊กต่อไป
ราคาหุ้นของบริษัทปิโตรเคมีที่ต่ำกว่าบุ๊กแวลูของ IRPC จึงถือว่าเข้าข่าย “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เป็นหลัก
ถึงแม้ว่าจะพ้นระยะขึ้น XD ซึ่งหมายถึงการถือครองหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ที่จะไม่ได้รับปันผลอันสวยงามถึง 0.14 บาท จากราคาหุ้นที่ต่ำกว่าบุ๊กแวลูที่ระดับ 4.29 บาท ไปแล้ว แต่ราคาหุ้นของยักษ์ปิโตรเคมีที่ครบวงจรที่สุดของประเทศก็ยังคงย่ำฐานที่จุดต่ำแค่ระดับ 3.80 บาท รอให้คนเข้าซื้อเก็บยาวนานเป็นพิเศษ
ล่าสุดผู้บริหารของ IRPC ก็ออกมาแถลงแผนธุรกิจใหม่น่าชื่นใจแบบเดิม ๆ เพื่อตอกย้ำว่า ราคาหุ้นที่ต่ำแค่ไหน ก็ไม่มีผลต่อการทำธุรกรรมของยักษ์ใหญ่รายนี้แต่อย่างใต
การที่คาดการณ์รายได้ และกำไรสุทธิไตรมาสแรกที่จะจบงวดสิ้นเดือนนี้ที่คาดหมายว่าจะสามารถสร้างกำไรสต๊อกน้ำมันที่ทำให้แผนการจัดงบลงทุนอีก 5 ปีมูลค่า 4.1 หมื่นล้านบาท เพื่อดัน EBITDA เพิ่มซึ่งโดยนัยหมายถึงกำไรสุทธิ กำไรสุทธิต่อหุ้น และบุ๊กแวลูของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปต่อเนื่อง
ดังที่ทราบกันดีไปแล้วว่า ในปีที่ผ่านมา พลิกกลับมาเป็นกำไรมากสุดในรอบ 5 ปี
อันเป็นผลมาจากธุรกิจการกลั่น และราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม มากสุดในรอบ 5 ปี จนสามารถลบล้างการขาดทุนในปี 2562 และ 2563 จนสามารถประกาศจ่ายเงินปันผล ที่ 0.14 บาท ขึ้น XD วันที่ 22 ก.พ. 65 ไปเรียบร้อยแล้วพุงกางกันไปทั่วหน้าจากบรรดาผู้ถือหุ้น
ราคาน้ำมันดิบโลกที่พุ่งแรงขึ้นมายืนเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ธุรกิจการกลั่นสูงถึง 6.2 เหรียญต่อบาร์เรล เป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการในต้นปีนี้โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ทำให้ไม่ต้องออกแรงมากมาย เรียกว่า “เก่งยังไม่เท่าเฮง”
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทคาดไตรมาส 1/2565 มีโอกาสกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Gain) เนื่องด้วยราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดยืนเหนือ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว และด้วยต้นทุนของราคาน้ำมันใหม่ก็จะส่งผลกระทบต่อราคาผลิตภัณฑ์แนฟทาปรับตัวขึ้นทันที รวมถึงยังได้ปัจจัยบวกจากความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นด้วย หลังจากทั่วโลกชะลอการลงทุนไปค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ (Spread) ขณะนี้จะขึ้นอยู่กับผลกระทบของสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนว่าหากมีผลให้วัตถุดิบตั้งต้น (feedstock) ขาดแคลนก็จะหนุนให้สเปรดปรับตัวขึ้น ส่งผลต่อกำไรมากขึ้น
สเปรดของฝั่งปิโตรเลียมดีขึ้นเทียบกับปีก่อน ขณะที่ฝั่งสเปรดปิโตรเคมีอาจชะลอตัวลงเล็กน้อยจากซัพพลายที่เข้ามามาก ทำให้ภาพรวมว่า ตลอดทั้งปีนี้ IRPC จะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นจากระดับปี 2564 เพราะคาดหมายว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะสูงกว่าปีก่อนที่ราคาน้ำมันเฉลี่ย 78 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายชวลิต กล่าวว่า จากการลงทุนดังกล่าวบริษัทตั้งเป้าหมายจะมีกำไรก่อนหักภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตแตะ 25,000 ล้านบาทในปี 2568 และเพิ่มเป็น 35,000 ล้านบาทในปี 73 หรือจะมี EBITDA เฉลี่ยเติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 1,500-1,800 ล้านบาท
ข้อเท็จจริงในช่วงปี 2564 ที่กำไรจากจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 11,104 ล้านบาท ส่งผลให้มี EBITDA จำนวน 26,961 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,269 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 475% และมีกำไรสุทธิ 14,505 ล้านบาท คือจุดที่ยืนยันว่ากำไรจากสต๊อกน้ำมันที่มีอยู่มาแล้ว
สำหรับการลงทุนในอนาคตของ IRPC ที่น่าสนใจ มีหลายด้าน ที่โดดเด่น อาทิโครงการผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ ที่บริษัทฯ ถือหุ้น 60% ในการร่วมทุนจัดตั้ง บริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด จะสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/65 เพื่อช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับด้านสาธารณสุข และอุปกรณ์ทางการแพทย์ของประเทศไทย
นอกจากนี้ IRPC ยังตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 20% ในปี 73 พร้อมมุ่งสู่องค์กร Net Zero Emission โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพจากการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ก็น่าจะทำให้การเติบโตในอนาคตของบริษัทที่เคยโดดเด่นมาในอดีตในกำมือของกลุ่มนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ มาอยู่ใต้มืออาชีพในเครือ ปตท.เมื่อ 20 ปีก่อน หลังวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดขึ้น
ก้าวย่างในอนาคตที่หากวิเคราะห์ถึงแนวทาง สร้างสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เพิ่มมากขึ้น และเสริมจุดแข็งเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในฐานธุรกิจปัจจุบัน เปรียบเสมือนแม่น้ำ 2 สาย (River of 2 streams) ในช่วงเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่การลงทุนในธุรกิจใหม่ต่อไป……สะท้อนว่าบริษัทจะเดินหน้าไปจากทิศทางที่สวยงามตามเป้าหมายได้
ราคาหุ้นของบริษัทปิโตรเคมีที่ต่ำกว่าบุ๊กแวลูของ IRPC จึงถือว่าเข้าข่าย “ตาดีได้ ตาร้ายเสีย” เป็นหลัก