ดันแล้วโดน!
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย” กับ “ยูเครน” ยังไม่มีทีท่าจะเจรจากันบนโต๊ะได้ และยังมีตัวเสี้ยมระดับเทพอย่าง “อเมริกา” คอยเป่าหูทั่วโลกตลอดเวลา
*หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง “รัสเซีย” กับ “ยูเครน” ยังไม่มีทีท่าจะเจรจากันบนโต๊ะได้ และยังมีตัวเสี้ยมระดับเทพอย่าง “อเมริกา” คอยเป่าหูทั่วโลกตลอดเวลา คงไม่มีทางที่จะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมในเร็ววัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันโลกทะยานขึ้นทำนิวไฮต่อไปเรื่อย ๆ พร้อมกับทำให้ต้นทุนชีวิตของคนทั่วโลกสูงขึ้นอัตโนมัติ มันไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจทั่วโลกนะนายจ๋า!
*ประเด็นข้างต้นสอดคล้องกับเรื่องเมื่อวันก่อนที่เล่าให้แฟนคลับฟังว่า ทุกคนเคยเห็นราคาน้ำมันขึ้นไปยืนเหนือ 140 เหรียญต่อบาร์เรลกันมาแล้ว และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ดัชนีเป๋ร่วมปี (ทุกครั้งที่เห็นน้ำมันแพงทีไร มักมีเรื่องร้ายอื่นเกิดขึ้นพร้อมกันทุกที) “โมนิก้า” ถึงเชื่อว่า บริบทของการลงทุนในปี 65 เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะปัจจัยภายนอกกระทบเป็นวงกว้างมากเหลือเกินพะยะค่ะ
*ฉะนั้นการที่ดัชนีทำท่าเหมือนจะมีแรงฮึดท่ามกลางแรงขายจากนักเล่นกลุ่ม “กองทุน” ที่มีอย่างหนาแน่น ก็คงเข้าอีหรอบเดิมที่ว่า “ดันแล้วโดน” สาดใส่ไม่ยั้งแน่ ๆ และสุดท้ายก็เป็นเหมือนที่คิดไว้ทุกประการ เพราะทันทีที่เปิดเทรดอย่างเป็นทางการ ดัชนีก็ไต่เพดานขึ้นไปเรื่อย ๆ จนขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,633.50 จุด แต่หลังจากนั้นมีแรงขายทยอยออกมาต่อเนื่อง จนดัชนีทรุดตัวลงไปยืนในแดนลบไงล่ะคะ
*ข้อมูลข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” เข้าใจเหตุผลที่ดัชนีไหลรูดลงไปถึงระดับ 1,580.80 จุด ก่อนจะตีตื้นขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,619.10 จุด ลบไป 7.60 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.49 แสนล้านบาท เพราะมันไฟต์บังคับที่ทำให้กองทุนต้องขายหุ้นทิ้ง และเหตุการณ์ทำนองนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการบีบให้นักเล่นหันไปถือเงินสดกันมากขึ้น เพราะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่านอนกอดหุ้น สภาพของหุ้นเลยเละเป็นโจ๊กทุกตัวนะจะบอกให้
*สภาพของหุ้นที่ดูไม่จืดสังเกตได้จากหุ้น SCGP หลังโดนถล่มอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาครึ่งเดือน จนวานนี้ลงมายืนปิดที่ระดับ 54.25 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 0.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.99 พันล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 10 เดือน น่าจะสื่อให้เห็นถึงความกังวลที่มีต่อผลงานของหุ้นตัวนี้ได้เป็นอย่างดี “โมนิก้า” เลยไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความ เพราะต้องการให้ภาพมันเล่าเรื่องของมันเองค่ะ
*อีกภาพที่บอกเล่าทุกอย่างได้เป็นอย่างดี “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น SAWAD เพื่อชี้ให้เห็นแรงขายยังมีออกมาตลอดเวลา ทั้งที่ราคาหุ้นก็ลงมาเยอะสุด ๆ แต่แรงขายกลับไม่เบาเลย วานนี้จึงเป็นอีกวันที่หุ้นลงมาปิดระดับ 55 บาท ลบไป 1.50 บาท หรือลงไป 2.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.67 พันล้านบาท พร้อมกับทำนิวโลว์แบบไร้ทางต่อกรแบบนี้ เดี๊ยนคงบอกได้แค่ว่า รอให้ปัจจัยภายนอกนิ่งกว่านี้ ต่อจากนั้นค่อยหันมาดูใหม่ก็ได้นะคะ
*ขนาดหุ้นที่มีเจ้ามือคอยดูแลอย่าง XPG ยังโดนสาดหนักจนหัวคะมำไม่เป็นท่า “โมนิก้า” จึงไม่ต้องอธิบายปรากฏการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร? เพราะตั้งแต่แบไต๋เรื่อง “สินทรัพย์ดิจิทัล” เป็นที่เรียบร้อย ทุกอย่างก็กลับคืนสู่สามัญในทันที แถมราคาที่เห็นทุกวันนี้ก็เป็นการเล่นบนอนาคตที่สวยหรูแทบทั้งนั้น เมื่อมีเอ็กซิเด้นท์บางอย่างเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว หุ้นจึงไหลลงมาปิดที่ 1.87 บาท ลบไป 0.12 บาท หรือลงไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 522 ล้านบาทอย่างง่ายดายจ้า!
*อีกรายที่โดนจัดหนักแบบไร้ทางสู้ เพราะราคาน้ำมันที่แพงระยับ มันทำให้ต้นทุนสูงขึ้นทันที “โมนิก้า” คงมองไปยังหุ้น EPG เพื่อชี้ให้เห็นสภาพของหุ้นที่ร่วงลงเป็นเวลา 2 เดือน มันมาจากความกังวลเกี่ยวกับกำไรจะผิดไปจากแผนที่วางไว้ วานนี้จึงเห็นหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 8.80 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลงไป 2.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 150 ล้านบาท พร้อมกับทำราคาต่ำสุดในรอบ 1 ปี 1 เดือนไงล่ะคะ
*เช่นเดียวกับในรายของ KEX ก็เซถลาเป็นนกปีกหักให้เห็นแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่เจ็บปวดรวดร้าวสุด ๆ ยิ่งเห็นหุ้นทำ all time low ด้วยการปิดที่ระดับ 20.90 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 4.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 161 ล้านบาท ทั้งที่ต้นปีก่อนยังเห็นหุ้นยืนแถว 60 บาท เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดให้รู้ว่า การกระโดดลงมาเล่นสงครามราคาแบบบ้าคลั่ง มักมีจุดจบที่ไม่สวยงาม และไม่มีวันที่จะกลับมาดีเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เพราะมันต้องพังไปข้างหนึ่งน่ะซี!