พาราสาวะถี
เข้าใจได้ว่าสถานการณ์น้ำมันราคาแพงเป็นไปทั่วโลก เป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม แต่กึ๋นของคนที่เป็นฝ่ายบริหารควรแสดงให้เห็นว่าจะแก้ปัญหา
เข้าใจได้ว่าสถานการณ์น้ำมันราคาแพงเป็นไปทั่วโลก เป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม แต่กึ๋นของคนที่เป็นฝ่ายบริหารควรแสดงให้เห็นว่าจะแก้ปัญหา หรือช่วยเหลือประชาชนในภาวะเช่นนี้อย่างไร ฟัง สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน บอกได้คำเดียวว่า “วังเวง” ไม่ช่วยไม่ว่า หมดปัญญาจะแก้ไขได้ก็ไม่ควรจะหน้าทนอยู่บริหารประเทศกันต่อไป การบอกให้ประชาชนระหว่างนี้ต้องประหยัด และอยู่ในสภาพนี้ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
นอกจากจะแสดงความบ่มิไก๊ไร้สมองในการจะวางแผนเผชิญวิกฤตแล้ว ยังดูแคลนสื่อและเหมือนจะซึมซับรับเอาวิธีการของเผด็จการเข้าไปเต็มตัว ไม่สมราคากับที่เคยเป็นผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของประเทศมาแม้แต่น้อย การที่บอกว่าเป็นธรรมชาติในเหตุการณ์ที่ผันผวน จะเอาคำตอบเป๊ะกลับบ้านไปนอนหลับสบาย ตนคิดว่าไม่ได้เป็นลักษณะบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความผันผวน สื่อต้องทำความเข้าใจ สื่อเข้าใจอยู่แล้ว แต่อยากรู้ว่าแผนรับมือของรัฐบาล 1-2-3-4 นั้นเป็นอย่างไร
ความจริงก็น่าจะมองเห็นอนาคตภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตั้งแต่มีหัวโขนหัวหน้าเผด็จการคสช.แล้ว ราคายางพาราตกต่ำก็บอกให้ไปขายที่ดาวอังคาร อาหารทะเลแพงก็บอกให้คนรวยกินไป คนจนอย่าสะเออะไปกิน ข้าวราคาถูกก็ให้ไปปลูกหมามุ่ยแทน ครั้นพอเกิดเหตุน้ำท่วมนาข้าวชาวนาก็บอกให้ไปเลี้ยงปลาเสริมรายได้ กระทั่งสถานการณ์น้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนเดือดร้อนก็บอกให้ช่วยกันสวดมนต์ไล่พายุ และให้ชาวบ้านสร้างบ้านสองชั้นน้ำจะได้ไม่ท่วมบ้าน
ปัญหาผักชีราคาแพง ก็สั่งให้ค่ายทหารช่วยกันปลูกเอาไปแจกประชาชน รถบรรทุกขู่หยุดวิ่งประท้วงราคาน้ำมันแพงก็จะให้รถทหารไปวิ่งส่งสินค้าแทน แม้กระทั่งเรื่องทางด่วนก็ยังบอกว่าคนรายได้น้อยก็อย่าไปขึ้นให้คนมีเงินเขาใช้ไป ล่าสุดราคาน้ำมันแพงก็บอกช่วยกันประหยัด ใช้รถเท่าที่จำเป็น สติปัญญาของคนเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคิดได้แค่นี้ แล้วจะไปหวังอะไรกับทีมเศรษฐกิจ คงไม่มีปัญญาที่จะพลิกแพลงอะไรได้มากไปกว่านี้
งานด้านการเมือง การสร้างภาพกลมเกลียวของพี่น้องแก๊ง 3 ป. ตามมาด้วยวงกินข้าวค่ำกับพรรครัฐบาลสำคัญ พลันที่มีวงกินข้าวของพรรคเล็กที่จัดโดย ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคเศรษฐกิจไทย ก็ทำให้เห็นทิศทางการเมืองก่อนที่จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนพฤษภาคมนี้ได้เป็นอย่างดี เป็นการยืนยันคำพูดของพี่ใหญ่ที่พูดในวงกินข้าวค่ำ คุมธรรมนัสไม่ได้ เพราะนอกจากจัดกินข้าวกับพรรคเล็กเหมือนเป็นการตบหน้ากัน คำให้สัมภาษณ์แต่ละดอกก็ทำเอาหน้าชากันเป็นแถบ
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่ถูกถามวันนี้จุดยืนที่ชัดเจนคือการทำงานแนบแน่นกับพรรคเล็ก ผู้กองมันคือแป้งตอบแบบไม่เกรงใจทั้งพี่ใหญ่และน้องแก๊ง 3 ป. เรารักกันมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมารักกัน และ “ไม่ใช่เพิ่งมาสร้างภาพรักกัน” ไม่เพียงเท่านั้น ยังโชว์บารมีหรือเป็นการทวงบุญคุณกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ทราบ ที่สามารถเดินเกมสืบทอดอำนาจได้ราบรื่นหลังการเลือกตั้ง เพราะตนเป็นคนชวนพรรคเหล่านี้มาร่วมรัฐบาล
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าธรรมนัสจะไม่แยแสต่อสิ่งที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.หยอดคำหวานสารพัดบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำวันนั้น กับการระบุไม่ทราบว่าคุยอะไรกัน และตนไม่ได้ใส่ใจ แต่เราทำการเมืองเราต้องมีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ไม่ใช่ชักเข้าชักออก เป๋ไปเป๋มา แล้วความหวังของชาติบ้านเมืองประชาชนจะฝากไว้กับใคร ทุกวันนี้มันควรจะหันมาสนใจใส่ใจเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน แม้จะบอกว่าทั้งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล แต่เป้าหมายในการพูดชัดว่าหมายถึงรัฐบาล
เมื่อประเมินจากท่วงทำนองของธรรมนัสนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการเดินเกมการเมืองเพื่อเป้าหมายต่อการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่ไม่รู้ว่าขบวนการสืบทอดอำนาจจะได้ไปต่อหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะเล่นแร่แปรธาตุกันแบบไหน แต่การเมืองว่าด้วยการแจกกล้วยในรูปแบบใจถึงพึ่งได้ วันนี้ หากสแกนไปในเรื่องของการกุมเสียงของส.ส.ในสภาที่ผ่านการดูแลจากธรรมนัสนั้น นอกจาก 18 เสียงของพรรคเศรษฐกิจไทยแล้ว ยังมีเสียงข้ามพรรคที่รวมกันแล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 30 เสียง
ยังไม่นับรวมเสียงจากพวกพ้องต่างพรรคที่ดูแลกันมา ซึ่งธรรมนัสก็ยอมรับแบบแมน ๆ ว่า ดูแลมาเป็นปีที่ 3 แล้ว ซึ่งไม่ใช่การดูแลแค่เรื่องเงินเรื่องทอง เวลาลงพื้นที่หลายพรรคก็จะมากับตน เป็นแบบนี้มา 3 ปีแล้ว นี่คือการผูกมิตรซื้อใจกัน โดยไม่ต้องสร้างความลำบากใจว่าจะต้องมาอยู่ร่วมกันเท่านั้น โดยเสียงในส่วนนี้อาจมีไม่น้อยกว่า 20 เสียง จะเห็นได้ว่านี่คือในส่วนของเสียงที่ดูแลโดยธรรมนัสล้วน ๆ ดังนั้นการที่บอกว่าคุมธรรมนัสไม่ได้ อีกด้านของพี่ใหญ่จึงเป็นเสมือนการส่งสัญญาณเตือนน้องเล็กว่าอย่าทำตัวอยู่แต่บนหอคอยงาช้าง อยากจะเดินบนถนนสายการเมืองต่อต้องใจกว้าง และมีต้นทุนที่ต้องจ่าย
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อตรวจสอบไปภายในพรรคสืบทอดอำนาจก็จะเห็นได้ว่า มีบรรดานักเลือกตั้งเขี้ยวลากดินที่พี่ใหญ่ดูแลด้วยตัวเองไม่ต่ำกว่า 50 เสียง ความพยายามของน้องเล็กที่จะให้สายตรงของตัวเองเข้าไปจัดขบวนภายในพรรคแกนนำรัฐบาลจึงไม่ใช่เรื่องง่าย การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้จึงจะเป็นจังหวะของการแลกเปลี่ยนกันขนานใหญ่ หากอยากจะไปต่อน้องเล็กก็ต้องยอมจัดทัพในครม.กันใหม่ โดยต้องเป็นไปตามความต้องการของพี่ใหญ่เท่านั้น
นี่คือแรงเสียดทานทางการเมืองของระบบการเมืองจากการเลือกตั้งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะต้องก้มหน้ายอมรับความจริง เมื่อขยับปรับเก้าอี้รัฐมนตรีด้วยความจำใจ ไม่เพียงแต่ภายในพรรคสืบทอดอำนาจที่ต้องพ่วงเอาภาระของพวกเขี้ยวลากดินที่เลี้ยงดูกันมาเป็นข้อต่อรองด้วยเท่านั้น พรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอยู่ในฐานะได้เปรียบจนถูกเรียกว่าเป็นฝ่ายบีบไข่ท่านผู้นำอย่างแท้จริง ประชาธิปัตย์ก็ถึงจังหวะต้องเพิ่มข้อเรียกร้องและมีความเด็ดขาดมากขึ้น นี่คือช่วงเวลาที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ส่งซิกไว้แล้ว ยามรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน ยามร้าวรานน้ำตาลยังว่าขม