ฝรั่งซื้อต่อเนื่อง
วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์ นักลงทุนยังคงติดตาม 2 เรื่องหลัก ๆ ปัญหารัสเซีย-ยูเครน และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด
เมื่อวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งไซด์เวย์
ส่วนมูลค่าการซื้อขายบางไปหน่อยหรือประมาณ 65,217 ล้านบาท
นักลงทุนยังคงติดตาม 2 เรื่องหลัก ๆ
ปัญหารัสเซีย-ยูเครน
และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด วันที่ 15-16 มี.ค.นี้
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ทั้ง 2 เรื่องแม้จะยังไม่มีความคืบหน้า ไร้ความชัดเจน
ทว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
เช่น วานนี้ซื้อเพิ่มอีก (SET) อีก 933 ล้านบาท
ทำให้นับจากต้นปี 2565 มาจนถึงวานนี้ (14 มี.ค.) นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิแล้วกว่า 85,066 ล้านบาท
ตัวเลขที่น่าสนใจคือ หากนับตั้งแต่ 1–14 มี.ค.ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อกว่า 7,731 ล้านบาท แม้จะเป็นช่วงที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังฝุ่นตลบ หาทางออกกันยังไม่เจอ
และรวมถึงเฟดน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแน่ ๆ
แต่ต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยต่อไป
นักวิเคราะห์ต่าง มองว่า ต่างชาติอาจมีสลับขายออกมาบ้าง
และถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ในระยะปานกลางถึงยาวนักลงทุนต่างประเทศยังจะซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อไป จากปัจจัยเศรษฐกิจที่ค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัว
รวมถึงบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยหลายแห่ง ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากที่กลุ่มชาติตะวันตกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของประเทศรัสเซีย
ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้แจ้งผลประกอบการ บจ. จำนวน 757 ทั้ง SET และเอ็ม เอ ไอ (mai)
หรือคิดเป็น 97.1% จากทั้งหมด 780 บริษัท
นำส่งผลการดำเนินงานปี 2564 พบว่ามี บจ.รายงานกำไรสุทธิ 592 บริษัท คิดเป็น 78.1% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
สรุปผลการดำเนินงาน บจ.ใน SET ปี 2564 กำไรสุทธิ 985,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79.9%
ตัวเลขที่น่าสนใจ คือ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ระดับเพียง 1.54 เท่า
ตัวเลขผลประกอบการนี้ หากเทียบกับปี 2562 เป็นปีก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่าบจ. มีผลการดำเนินงานดีขึ้น ทั้งยอดขาย กำไรจากการดำเนินงานหลัก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ปี 2565 กำไรของ บจ.ไทยยังเติบโตต่อได้ในปี 2565
เพียงแต่ว่าตัวเลขการเติบโตเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะไม่ได้พุ่งเท่ากับปี 2564
แม้นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยค่อนข้างมากนับจากต้นปี
แต่จะเห็นว่า พวกเขาเลือกซื้อเป็นบางกลุ่ม และบางหุ้นเท่านั้น
เช่นกลุ่มธนาคาร เลือก KBANK เป็นหลัก
และตามมาด้วย BBL SCB และ KTB
ส่วนแบงก์เล็กนั้น ต่างชาติเข้าเก็บ TISCO มาตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 4/2564 แล้ว และผ่านมาจนถึงวันนี้ น่าจะยังไม่มีการปรับพอร์ตขายออกมา
กลุ่มค้าปลีก มีการเข้ามาซื้อเช่นกัน CRC CPALL
และอาจจะรวมถึงหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง AOT MINT CENTEL ERW
กลุ่มลีสซิ่ง น่าจะมี “เงินติดล้อ” TIDLOR ด้วย
ถามว่า ต่างชาติไม่กลัวเฟดขึ้นดอกเบี้ยแรง เช่น 0.50% หรือไม่มีความกังวลเรื่องรัสเซีย-ยูเครน หรือ?
คิดว่า ต่างชาติน่าจะพิจารณามาอย่างดีแล้วว่า หุ้นที่เขาเลือกซื้อนั้น
น่าจะมีความปลอดภัย หรืออาจจะไม้ได้รับผลกระทบมากนักจากทั้งสองเหตุการณ์