พาราสาวะถี
ไม่ต้องเป็นคอการเมืองก็อ่านกันออก ประเด็นส่งซิกยุบสภาของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. หลังคุยกับพรรคเล็กช่วงค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมาว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี
ไม่ต้องเป็นคอการเมืองก็อ่านกันออกประเด็น “ส่งซิกยุบสภา” ของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. หลังคุยกับพรรคเล็กเมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า จะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ และมีการให้สัมภาษณ์ต่อเนื่องในช่วงเช้าก่อนเข้าประชุมครม. ไม่ใช่ว่ารัฐบาลเรือเหล็กขอดูแลจัดการประชุมเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพให้เรียบร้อยก่อน หากแต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่า ปลายปีนี้งบประมาณประจำปี 2566 จะได้เริ่มใช้จ่ายกัน นั่นหมายความว่า ฝ่ายกุมอำนาจก็จะได้เปรียบจากสารพัดโครงการที่เดินหน้าเต็มสูบเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีสัญญาณมาเช่นนี้ก็มีประเด็นน่าสนใจต่อเนื่องตามมา นั่นก็คือ ปมว่าด้วยการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ถูกมองว่าถ้านับตั้งแต่ปี 2557 ก็จะครบในเดือนสิงหาคมปีนี้ ดังนั้นการที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.บอกว่าจะมีการยุบสภาปลายปี หมายความว่าข้อกังขาเรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร นี่สะท้อนให้เห็นถึงกลไกของขบวนการสืบทอดอำนาจที่วางไว้ ไม่มีอะไรจะมาทำให้ต้องสะดุด
ขณะเดียวกัน การที่พี่ใหญ่เล่นบทชี้นำเช่นนี้ ก็ถูกมองว่าเพื่อแสดงบารมีให้บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายได้เห็น โดยเฉพาะในซีกที่สนับสนุนรัฐบาลสืบทอดอำนาจ เพราะความจริงแล้วอำนาจในการยุบสภาเป็นของนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว แต่พี่ใหญ่ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลกลับส่งสัญญาณกันโต้ง ๆ แม้จะบอกว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัว แต่มันก็สวนทางกับสิ่งที่น้องเล็กของตัวเองและบรรดาลิ่วล้อสอพลอทั้งหลายพากันตอกย้ำมาตลอดว่าจะอยู่กันจนครบวาระ
ท่วงทำนองทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้ จึงบ่งบอกได้ถึงความขัดแย้งส่วนตัว หรือความไม่เข้าใจระหว่างกันยังคงดำเนินต่อไป ความพยายามในการที่จะสื่อให้สังคมเห็นว่ารักกันหวานแหววจึงเป็นเพียงการสร้างภาพเท่านั้น สิ่งสำคัญการตีฆ้องร้องป่าวกันแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการเคาะกะลา ให้บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายที่ยังลังเลรีบตัดสินใจว่าจะย้ายคอก เปลี่ยนสีเสื้อกันหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเล็กที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน หากการเลือกตั้งใช้บัตร 2 ใบ ไม่มีการเล่นแร่แปรธาตุในกระบวนการของกฎหมายลูกที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ
ไม่เพียงแต่การแสดงบารมีที่อยู่เหนือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกับการประกาศเงื่อนเวลายุบสภาล่วงหน้าเท่านั้น หากแต่ประเด็นการดูแลพรรคเล็กทั้งหลาย พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ก็ประกาศตัวชัดเจนว่าดูแลกันมาตั้งแต่ต้นไม่เกี่ยวกับ ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ใช่การเอาใจน้องเล็กของแก๊งแน่ แต่เป็นการเบ่งกล้ามโชว์นักเลือกตั้งที่อยากจะมีอนาคตสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ต้องอ่านเกมให้ขาดอยู่กับใคร พรรคไหนแล้วจะได้กินกล้วยกันอิ่มแปล้
ส่วนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ท่าทีการให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม.วันวานสะท้อนให้เห็นถึงแรงเสียดทานที่จะต้องเจออย่างหนักหน่วงไปจนกว่าผลประโยชน์จะลงตัว นักเลือกตั้งทั้งหลายได้ตามที่เรียกร้องแล้วเท่านั้น กับการที่บอกว่าพรรคเล็กทั้งหลายต้องใจใหญ่ และให้เกียรติกันบ้าง ทั้งที่ความจริงแล้ว ประโยคเหล่านี้ควรเป็นฝ่ายที่ถูกพาดพิงส่งไปถึงตัวท่านผู้นำมากกว่า เพราะที่ผ่านมาทำตัวเป็นเทวดามองคนเหล่านี้เป็นแค่ลูกไล่ไร้ราคาเท่านั้น
ต่อเมื่อเจอกับเหตุการณ์ธรรมนัสเกือบทำแหกโค้งต่างหาก จึงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเข้าใจความหมายของการเมืองในระบบของนักเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี แต่จนถึงเวลานี้ก็ยังมีประเด็นที่บรรดาเขี้ยวลากดินทั้งหลายยังแสดงความไม่พอใจกันอยู่ เพราะต้นทุนที่รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเสียนั้น กลับไม่ไหลลื่นเหมือนที่เคยได้รับการดูแลจากพี่ใหญ่ผ่านทางคนรู้ใจ ทุกอย่างเป็นไปอย่างมีเงื่อนไข แทนที่จะได้ใจกลับถูกด่าลับหลังไปเสียฉิบ
ไม่เพียงเท่านั้น มื้อไม้ที่ให้ไปดำเนินการแทนก็ออกลูกลีลาไม่ใช่พวกใจถึงพึ่งได้เหมือนธรรมนัสหรือในสายของพี่ใหญ่ที่สร้างเครือข่ายหลัก ๆ อยู่ในพรรคแกนนำเวลานี้ ขณะที่อีกด้านผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็หมดปัญญาต่อการที่จะหาหนทางในการแก้ไขปัญหาสารพัดที่เผชิญ ตัดประเด็นโควิด-19 ออกไป เรื่องน้ำมันราคาแพง สินค้าสารพัดชนิดขยับขึ้นราคาเป็นว่าเล่น ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า จนทำให้ทีมการเมืองและฝ่ายความมั่นคงต้องออกปากเตือนให้รอรับมือม็อบความเดือดร้อนต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
คำพูดแบบแผ่นเสียงตกร่องที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเรียกร้องความเห็นใจ พร้อมตัดพ้อไปในตัวว่าให้เลิกโจมตีรัฐบาล เพราะจะทำให้ทุกคนท้อแท้ คนทำงานก็ท้อแท้เหมือนกัน ไม่ใช่สิ่งที่คนซึ่งเป็นผู้นำที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการจะต้องพูด ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่คนทำงานทั้งหลายจะต้องแสดงผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้เข้ามาบริหารประเทศเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล หรือเป็นข้าราชการที่ดีเท่านั้น มันต้องแก้ปัญหาให้ประชาชนบรรเทาทุกข์จากความเดือดร้อนที่เผชิญด้วย
ยิ่งการคุยฟุ้งว่าตัวเองมีผลงานตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ทำงานมานั้น พร้อมท้าให้นำผลงานของรัฐบาลในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มาเทียบกันดูได้เลย ก็เป็นการเล่นลิ้นที่ไม่อยากบอกว่ากะล่อนหรือศรีธนญชัย ในเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมานั้น ก็มีเพียงรัฐบาลที่ตัวเองไปยึดอำนาจมาเท่านั้น ก็เห็นกันแล้วว่าช่วงเกือบสองปีหลังแทบจะไม่ต้องทำอะไร เพราะมีม็อบและขบวนการเล่นงานจนเกิดเป็นเผด็จการคสช.ที่ตัวเองเป็นหัวหน้าอยู่นั่นปะไร พูดเหมือนประชาชนกินหญ้า
เพราะรู้อยู่แก่ใจไม่มีปัญญาที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น การอ้างปัญหาสารพัดแต่ไม่ได้ทำอะไรให้คนเกิดความรู้สึกว่าได้พยายามแล้วแต่มันทำไม่ได้จริง ๆ มันจึงเป็นเพียงแค่การแก้ตัวแบบหน้าด้าน ๆ ตีสำบัดเล่นสำนวนไปวัน ๆ ถ้าแก้ปัญหากันแบบนี้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมีนายกฯ หรือรัฐบาลก็ได้ ให้ทุกคนอดทน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทั้งที่ความจริงบนวิกฤตของบ้านเมืองมักจะสร้างวีรบุรุษให้ประชาชนจดจำ แต่เวลานี้คนที่อ้างตัวเองว่าเป็นวีรบุรุษกลับจะทำให้ประชาชนเจอกับทุกวิกฤต ไม่ได้มีชีวิตมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เหมือนราคาคุย และความสุขที่อ้างว่าจะคืนให้ก็มีแต่ทุกข์หนักสะสมขึ้นทุกวัน