คงเป้าดัชนี 1,800 จุด

ก่อนหน้านี้สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ประกาศคงเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2565 ไว้ที่ 1,800 จุด

ยังแอบตั้งคำถามว่า (ดัชนี) จะไปถึงหรือเปล่า

ล่าสุด บล.โนมูระ พัฒนสิน ได้คงเป้าดัชนีปีนี้ไว้เช่นกันคือ 1,750 จุด

แม้จะมีเหตุการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน

ทว่า บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า จะมีผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น

เหตุผลเพราะเมื่อย้อนดูเหตุการณ์ Geopolitical Risks หรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งต่อสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกพบว่ามักจะ “ฟื้นตัวได้เร็ว”

ล่าสุด วานนี้ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน

และนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศ รัสเซีย

ทั้งสองคนต่างส่งสัญญาณความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ที่ต่างออกมาบอกว่า

“ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น”

“เราต่างก็ต้องการสันติภาพ และยังจำเป็นต้องใช้ความพยายามในการยุติสงคราม โดยผู้แทนการเจรจาของเราต้องใช้ความอดทนและต้องทำงานหนัก” ผู้นำยูเครน กล่าว

ด้านนายลาฟรอฟกล่าวว่า “ผมมองเห็นความหวังที่รัสเซียและยูเครนจะสามารถประนีประนอมในการเจรจาสันติภาพ”

ขณะเขียนต้นฉบับ

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ได้พุ่งขึ้นมา 362 จุด

ส่วนวันก่อนหน้านี้ดาวโจนส์ปิดบวกถึง 599 จุด เมื่อสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ เริ่มคลี่คลาย หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มลดต่ำลงจากปัจจัยเรื่องของรัสเซีย ยูเครน กำลังมีทิศทางที่ดี

นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีทิศทางที่ดี

กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศยังเข้ามาต่อเนื่อง

ล่าสุดวานนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 6,257 ล้านบาท

ทำให้ยอดซื้อของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเดือน 1-16 มีนาคมนี้ อยู่ที่ 13,033 ล้านบาท และนับจากต้นปีมาถึงวานนี้ซื้อสุทธิจำนวน 90,368 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ต่างยังแสดงความมั่นใจว่า ต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง

แต่อาจจะมีบางช่วงที่สลับขายออกมาบ้าง

ทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไม่น่าจะมีภาระตั้งสำรองระดับสูง ทำให้บรรทุกกำไรได้มากขึ้น ทั้ง KBANK BBL SCB

กลุ่มค้าปลีก เป็นอีกกลุ่มที่นักวิเคราะห์ต่างแนะนำเช่นกัน จากยอดขายที่จะกลับมาฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ในช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ เผชิญกับปัญหาการล็อกดาวน์

ส่วนกลุ่มน้ำมัน ถูกแนะนำให้เทรดดิ้ง หรือเล่นระยะสั้น จากความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก

หลัก ๆ แล้ว เข้าใจว่า กลุ่มธนาคารและค้าปลีก

น่าจะเป็นตัวดันดัชนีในปีนี้

จะเห็นจากหุ้น KBANK ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากเป็นอันดับ 1 หรืออยู่ในท็อป 5 มาโดยตลอด มีส่วนต่อการดัน (และกด) ในแต่ละวันค่อนข้างมาก

รวมถึงหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อย่าง BBL ด้วย