พาราสาวะถี
มันแปลกประหลาดกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว สำหรับแนวทางการสู้กับโควิด-19 ของประเทศไทย จากได้รับคำชมจนตัวลอยในการรับมือต่อการระบาดในระลอกแรก
มันแปลกประหลาดกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว สำหรับแนวทางการสู้กับโควิด-19 ของประเทศไทย จากได้รับคำชมจนตัวลอยในการรับมือต่อการระบาดในระลอกแรก หลังจากนั้นก็ต้านไม่อยู่ จากที่เคยแจ้งไทม์ไลน์ ไล่รายละเอียดกันรายบุคคลในรอบ 7-14 วันที่ผ่านมาไปทำอะไรที่ไหนมาบ้าง ก็ไม่สามารถทำได้ จนกระทั่งเข้าสู่มาตรการไม่บังคับ แต่ขอความร่วมมือประชาชนดูแลตัวเองกันอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายทำให้เป็นโรคประจำถิ่น
ทั้งที่พล่ามกันทั้งหมอการเมืองไปจนถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ สถานการณ์ของโรคไม่รุนแรง ระบบสาธารณสุขที่มีอยู่รองรับได้ แต่กลับไม่ยอมยกเลิกการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มิหนำซ้ำ จากที่เคยต่ออายุกันเดือนต่อเดือน ระยะหลังใช้การต่อยาวไปทีละสองเดือน ไหนบอกว่าทุกอย่างคุมได้เอาอยู่ ก็ไม่ต้องจำเป็นที่จะใช้กฎหมายพิเศษอยู่แล้วกระมัง เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากนิสัยของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจชอบใช้กฎหมายที่ใครก็ตรวจสอบหรือเอาผิดไม่ได้มากกว่า
สิ่งสำคัญการใช้กฎหมายแบบนี้ สามารถที่จะเป็นเครื่องมือในการเล่นงานฝ่ายที่เห็นต่างได้เป็นอย่างดี พิสูจน์ได้จากบรรดาแกนนำม็อบของคนรุ่นใหม่ที่มีคดีติดตัวกันพะรุงพะรังเวลานี้ ตั้งต้นจากสีกากีก็ผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินทั้งนั้น ก่อนที่จะตามมาด้วยข้อหาต่าง ๆ ความพยายามที่จะอธิบายว่าใช้กฎหมายนี้คุมโรคไม่ใช่คุมคนจึงฟังได้เพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันกระบวนการบริหารจัดการทั้งวัคซีนและยาที่เกี่ยวกับโควิด-19 ก็เต็มไปด้วยคำถามมาตลอด
แม้ปัจจุบันจะบริหารจัดการเรื่องวัคซีนได้เต็มที่โดยมีวัคซีนครบทุกชนิดที่ทั่วโลกใช้ แต่ก็ไม่วายที่จะถูกตั้งคำถามจากภาคเอกชนที่มีการจัดหาวัคซีนทางเลือกกันก่อนหน้า ถูกมาตรการของฝ่ายกุมอำนาจเล่นงานจนต้องกุมขมับกันเป็นแถว ส่วนเรื่องยารักษาโควิดก็มีปุจฉาเกี่ยวกับการที่ครม.อนุมัติงบประมาณจัดซื้อฟาวิพิราเวียร์เพิ่มอีกจำนวนมาก อ้างเหตุผลว่ามีความจำเป็นในสถานการณ์การระบาดที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในขณะนี้
โดยที่หากย้อนกลับไปดูข้อดีข้อเสียของยาตัวนี้ก็จะพบว่า ในทางการแพทย์ก็มีความกังวลอยู่เหมือนกันว่าบางประเทศถึงกับไม่ให้ใช้ยาตัวนี้โดยใช้ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นหลัก เพราะผลข้างเคียงของฟาวิพิราเวียร์ที่พบได้นั้นคือ ภาวะตาสีฟ้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีเมลานิน หลังร่างกายดูดซึมยาฟาวิพิราเวียร์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีที่บริเวณจอตา ถุงหุ้มแก้วตา และบางรายอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสีเกิดขึ้นบริเวณเล็บและน้ำลายเกิดเป็นสีฟ้าด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น รวมถึงภาวะตาสีฟ้าสามารถหายได้เองเมื่อหยุดใช้ยาประมาณ 14 วัน แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในระยะยาว ขณะที่ผลข้างเคียงอื่นคืออาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งก็เหมือนกันกับโมลนูพิราเวียร์ แต่ที่น่าห่วงคือฟาวิพิราเวียร์มีผลต่อการทำงานของตับ อาจทำให้ตับอักเสบได้ จึงเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจว่าทำไมทางกระทรวงสาธารณสุขจึงได้มีการจัดซื้อยาชนิดนี้เพิ่ม โดยที่ลดการจัดซื้อโมลนูพิราเวียร์ ทั้งที่ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน แต่ยี่ห้อหลังน่าจะดีกว่า
สิ่งที่อ้างสำหรับหมอการเมืองคือเรื่องราคา เมื่อพิจารณาในแง่ของความจำเป็นที่ทางกระทรวงสาธารณสุข รวมไปถึงผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็กังวลต่อตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น จะทำให้ตัวเลขของผู้ป่วยหนัก ผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเน้นหนักไปที่กลุ่ม 608 หากเป็นเช่นนั้นยาโมลนูพิราเวียร์ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ดี เพราะกรมการแพทย์เองก็ยืนยันว่า ยาตัวนี้เหมาะสำหรับใช้ในกลุ่มผู้ป่วยระดับสีเหลือง และระดับสีแดง หรือผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงหรือมีโรคร่วมสำคัญ
น่าสนใจประการต่อมาคือ ความเห็นล่าสุดของนายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ที่โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า คนไข้ชาวเขมรเล่าให้ตนฟัง ผู้ป่วยชายอายุ 42 ปีติดเชื้อโควิด-19 ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลในกัมพูชา เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2565 แพทย์ที่นั่นจ่ายยาโมลนูพิราเวียร์ นำเข้าจากประเทศอินเดียให้กินเช้า 4 เม็ด เย็น 4 เม็ด นาน 5 วัน อาการดีขึ้น เขาจ่ายเงินค่ายาคิดเป็นเงินไทย 1,500 บาท ยานี้ผลิตในประเทศอินเดีย ราคาขาย 2,000 รูปี คิดเป็นเงินไทย 878 บาท
ไฮไลท์ของกรณีนี้ก็คือ ในกัมพูชาสามารถซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ตามร้านขายยา ในโรงพยาบาล ตั้งแต่ต้นปี 2565 และแพทย์ที่นั่นไม่ให้ยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว ประเทศกัมพูชาก้าวหน้ากว่าไทยเรื่องการใช้ยาต้านไวรัสรักษาโรคโควิด-19 ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการคิด วิธีการดำเนินการของรัฐบาลไทยภายใต้การบัญชาการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังคงวนเวียนอยู่กับรูปแบบเดิม ๆ ให้ประชาชนยอมรับสภาพกันไปโดยปริยาย ด้วยเหตุผลข้อจำกัดทางงบประมาณอย่างนั้นหรือ
ล่าสุดก็มีคำขู่มาจากหมอการเมืองในกระทรวงสาธารณสุข เทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงถ้าคนไทยไม่ให้ความร่วมมือ หย่อนยานในมาตรการส่วนบุคคล เราจะได้เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุหลักแสนคนต่อวันแน่หลังเทศกาล อ้าว! ปากก็บอกว่าต้องปล่อยให้เกิดการเคลื่อนคนครั้งใหญ่เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ประชาชนก็ป้องกันตัวเองกันอย่างเต็มที่แล้ว เช่นนี้จะโทษใคร ยังมีหลายพื้นที่ที่ภาคธุรกิจยื่นหนังสือร้องขอภาครัฐอนุญาตให้มีการสาดน้ำกันได้ จัดกิจกรรมรวมกลุ่มได้ แบบนี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องตอบเองหรือไม่ เอาให้ชัดว่าจะทำกันอย่างไร ไม่ใช่โยนภาระไปให้ระดับปฏิบัติรับผิดชอบ
การพิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ประเด็นบัตรเลือกตั้งจะเป็นเบอร์เดียวกันทั้งประเทศหรือคนละเบอร์ จะเป็นการฉายภาพให้เห็นแนวคิด วิธีการและความจริงใจของขบวนการสืบทอดอำนาจที่ยอมให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งใช้บัตร 2 ใบ หากบทสรุปของเสียงข้างมากลากไปจบลงที่ว่าคนละเบอร์ มันก็จะกระทบชิ่งไปต่อสูตรการคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่ว่าจะหาร 100 หรือ 500 แน่นอนว่าสุดท้ายมันก็คือการจัดฉากเพื่อไม่ให้เสียสัจจะที่รับปากพรรคร่วมรัฐบาลไว้ว่าจะแก้ไข ท้ายที่สุดมันก็วกกลับเข้าสู่ประเด็นที่ว่า เผด็จการสืบทอดอำนาจไม่มีทางที่จะยอมวางมือเด็ดขาด