อนาคต XPG ราคาน่าผิดหวัง รายได้ต่ำ แต่กำไรสูงลิ่ว
คนที่ซื้อเพื่อหวังว่าราคาหุ้นจะวิ่งกลับไปที่ต้นทุนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 4.00 บาท…น่าจะกำลังฝันกลางวันในฤดูร้อน
ผลประกอบการของ บริษัทเอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG ที่กลับมาทำกำไรอีกครั้ง หลังจากการขาดทุนยืดเยื้อในชื่อเดิมบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ หรือ ZMICO จนถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ ซึ่งมีหมอระเฑียร ศรีมงคล ผู้ซึ่งเคยสร้างชื่อลือลั่นมากับการพลิกฟื้นกิจการของธนาคารนครหลวงไทย SCIB และบัตรเครดิตกรุงไทย หรือ KTC มาแล้ว
หมอระเฑียรนั้นได้สร้างผลงานดีเด่นมาตลอดกว่า 20 ปีในการเข้าไปบริหารกิจการที่ขาดทุนเละเทะให้กลับมากำไรโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว เมื่อหอบเงินเข้ามาซื้อหุ้นในราคาต่ำเพียงแค่ 0.16 บาท จากเงินออมในกระเป๋าส่วนตัว (ไม่ได้บอกว่ากู้มา) 160 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น 100 ล้านหุ้นจากคุณสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ อดีตผู้บริหาร CMIC ก่อนที่จะทำแผนธุรกิจในลักษณะ “เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ” ตามถนัด
จากนั้นหมอระเฑียรก็อาศัยชื่อเสียงเก่าระดมทุน ขายหุ้นให้กลุ่มนักลงทุนขาใหญ่ ให้เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่ในราคาพรีเมียม หุ้นละ 4.00 บาท
การเปิดตัวของ XPG อันอลังการด้วยการประกาศเมื่อกลางเดือน สิงหาคม 2564 ว่าจะรุกธุรกิจให้บริการในฐานะที่ปรึกษาการทำ ICO ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล มีตัวเลขเพียงแค่ ด้วยกลยุทธ์คั้นมะนาวที่เคยได้ผลดีมาแล้วของหมอระเฑียร ช่วยให้ราคาหุ้นบนกระดานซื้อขายหวือหวาระยะหนึ่งก่อนที่จะร่วงลงมาน่าใจหายจากมาตรการถล่มตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจนราคาหุ้นร่วงมาที่ 2.00 บาทล่าสุด ไม่กลับขึ้นไปอีกเลย
ผลลัพธ์ก็คือนักลงทุนที่เชื่อมั่นในหมอระเฑียรพากันหน้าจ๋อยไปตาม ๆ กัน เพราะว่าแม้จะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง ด้วยอัตรากำไรสุทธิที่งดงามถึงกว่า 58% จากที่เคยติดลบต่อเนื่องมาตลอดหลายปี แต่ตัวเลขรายได้ที่ยังต่ำเตี้ยเพราะตลอดทั้งปีเพียงแค่ 166 ล้านบาท (แต่กำไรสุทธิมากกว่า 88 ล้านบาท) ก็ยังไม่เพียงพอจะพลิกสถานการณ์ให้ราคาพลิกฟื้นขึ้นมาได้
ผลลัพธ์คือแม้จะมีกำไรสุทธิสวยงาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าจะเพิ่มรายได้อย่างไร ในยามที่รัฐบาลประกาศตัวไม่สนับสนุนธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างเปิดเผยซึ่งเป็นความเสี่ยงทางนโยบายที่สำคัญยิ่ง
การเปิดตัวครั้งใหญ่เพื่อขจัดความคลุมเครือของภาพลักษณ์ของบริษัท XPG เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) โดยหมอระเฑียรเป็นประธานกรรมการบริษัทที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่…จึงกลายเป็นความล้มเหลวอย่างช่วยไม่ได้ และไม่ใช่เรื่องแปลก
ในขณะที่แล้วแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจอันสวยหรูนี้หมั่นไส้ก็บรรลุเป้าแรกไปได้สวยงาม…ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกัน…แต่ก้าวต่อไปจะสวยหรูแค่ไหน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกำไรสะสมที่แม้จะกลับมาบวกได้จากส่วนเหลื่อมมูลค่าหุ้นจากการเพิ่มทุนมากมาย และกำไรสุทธิเพียงแค่ล่าสุด 4 ล้านบาทเศษ ทำให้ค่าพี/อีของหุ้นที่ระดับสูงลิ่ว 200 เท่าเศษ (แม้จะลดลงมากกว่าปลายปีก่อนที่ระดับ 900 เท่า) ยังเป็นหุ้นที่สุ่มเสี่ยงในการเข้าถือมากต่อไป
เพียงแต่ว่าจะบอกง่าย ๆ ตามประสาคนที่จับผิดไปเรื่อยนั้น ด้วยเหตผลง่าย ๆ เพราะหมอระเฑียรทำไม่ได้ หรือหมดยุค……ดูจะประมาทกันเกินไป เพราะอนาคตของ XPG นั้นสวยหรูแน่นอน เพียงแค่คดเคี้ยวกว่าเดิมเท่านั้น
เพียงแต่ตัวเลขส่วนผู้ถือหุ้นที่มากกว่า 1.04 หมื่นล้าน แต่หนี้ต่ำมาก (ตามสูตรหมอระเฑียร) ที่มีค่าดีอีที่ระดับ 0.5 เท่า นั้นน่าจะรับประกันได้ว่าราคาหุ้นที่ปัจจุบันแถว ๆ 2.0 บาทเศษนั้นน่าจะเป็นจุดราคาต่ำสุดที่จะเป็นไปได้ เรื่องราคาจะต่ำกว่านี้คงยาก…และยากที่สุด
คนที่ซื้อเพื่อหวังว่าราคาหุ้นจะวิ่งกลับไปที่ต้นทุนของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 4.00 บาท…น่าจะกำลังฝันกลางวันในฤดูร้อน