พาราสาวะถี
การเมืองช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่โหมดนับถอยหลังเตรียมพร้อมเลือกตั้ง การช่วงชิงความได้เปรียบถือเป็นสิ่งที่นักเลือกตั้งและพรรคการเมืองจะต้องรีบดำเนินการ
การเมืองช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่โหมดนับถอยหลังเตรียมพร้อมเลือกตั้ง การช่วงชิงความได้เปรียบถือเป็นสิ่งที่นักเลือกตั้งและพรรคการเมืองจะต้องรีบดำเนินการ ไม่สนใจใยดีว่าการขับเคลื่อนในเรื่องหนึ่งเรื่องใดจะไปปีนเกลียวพวกเดียวกันหรือไม่ เห็นได้จากการปะทะคารมกันระหว่าง มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากภูมิใจไทย กับ วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากชาติไทยพัฒนา
โดยจุดเกิดเหตุมาจากการพิจารณาวาระเรื่องการขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพที่จะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพและช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้ ที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้เสนอ ทำให้มนัญญากดไมโครโฟนถามวราวุธทันที “อยากรู้ว่าในร้านสะดวกซื้อประชาชนต้องเสียเงินซื้อถุงพลาสติก แล้วเงินที่ประชาชนต้องมานั่งเสียมันไปไหน นโยบายรัฐคือ ไม่ให้ถุงเลยหรืออย่างไร แต่ก่อนซื้อของไม่ต้องเสียค่าถุง ตอนนี้ต้องเสียเพิ่มขึ้นมา”
กรณีนี้เชื่อว่าชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็สงสัยกันอยู่เหมือนกัน เมื่อไม่ให้ประชาชนใช้ถุงพลาสติกจากการซื้อของตามร้านรวงต่าง ๆ ก็ไม่ควรที่จะมีการขายถุงพลาสติกให้ประชาชนซื้อในรายที่ไม่ได้นำถุงมาใส่ของ คำตอบของวราวุธก็คือ ร้านจะเก็บไปไหนไม่ทราบ จะรู้ได้อย่างไรว่าจะเอาไปทำอะไร เป็นเรื่องของเอกชนเขา รัฐไปยุ่งไม่ได้ และมาตรการลดการใช้ถุงพลาสติกเป็นมาตรการที่ขอความร่วมมือไม่ได้บังคับ แต่พอทำไป ผลที่ได้คือมีการลดใช้พลาสติกจริง ๆ
ขณะที่มนัญญาก็ไม่ลดละถามในเชิงตำหนิที่ว่ารัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาลพูดเหมือนปัดความรับผิดชอบ การทำแบบนี้เหมือนรัฐบาลไปเอื้อให้นายทุนรายใหญ่ นับหนึ่งไม่ถึงสิบสักที งานที่ทำไม่ถึงเป้าหมายสักที จนทำให้ลูกชายของอดีตมังกรการเมืองควันออกหูโต้กลับทันควัน “ตัวเลขการใช้ถุงพลาสติกก็ลดลงต่อเนื่อง นโยบายดี สวยหรู แต่จะมาพูดเอาแต่มัน มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรนะครับ” ส่วนรัฐมนตรีหญิงก็ไม่ยอม ย้อนทันใด “เดี๋ยวนะ เอามันคืออะไร หมายความว่าอย่างไร”
แหม! เถียงกันต่อหน้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจแบบนี้ เหมือนตัวเองเป็นหัวหลักหัวตอถึงกับไล่ให้ไปเถียงกันนอกห้องประชุม พร้อมแสดงความเป็นตัวตนของคนเจ้ายศเจ้าอย่างทันที “ผมไม่ชอบ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ ทำไมต้องเถียงกัน” ทำให้ทั้งคู่หยุดโต้เถียงกัน แต่มนัญญานั่งประชุมต่อแค่แป๊บเดียว ก่อนจะลุกออกจากห้องประชุมไป แล้วไม่เดินทางกลับเข้ามาร่วมประชุมอีก ในช่วงท้ายการประชุมท่านผู้นำได้กล่าวกับที่ประชุมว่า ขอโทษด้วยถ้าวันนี้มีอารมณ์เสียไปบ้าง
ทีมงานของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงต้องไปสะกิดบอกเจ้านาย จากนี้ไปในการประชุมครม.แทบทุกนัดคงต้องเตรียมใจ ปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดี เพราะจะมีการดักคอกันแบบนี้อยู่เนือง ๆ เนื่องจากจมูกของนักเลือกตั้งที่อยู่ซีกรัฐบาลต่างรู้กันดีว่า ผลงานหรือจุดขายของตัวเองสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้านั้นมีมากขนาดไหน เมื่อไม่มีย่อมหาช่องที่จะทำคะแนนได้จากการเตะตัดขาพวกเดียวกันเอง เพื่อทำให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้หลับหูหลับตาปล่อยผ่านในเรื่องที่ประชาชนกังขาแต่อย่างใด
กรณีที่เกิดขึ้นคงทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ตระหนักแล้วว่า พวกเดียวกันที่จะคอยบีบไข่จนหน้าเขียวนั้นใช่พรรคสืบทอดอำนาจที่มีพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กุมบังเหียนหรือไม่ คำยืนยันเรื่อง 260 เสียงค้ำยันอำนาจอยู่กันจนครบวาระมาจากใครย่อมหมายถึงผู้นั้นที่จะเป็นคนกำหนดชะตากรรมของรัฐบาล ควบคู่ไปกับการตีกิน ทำคะแนนนิยมทางการเมืองไปด้วย วิวาทะที่เกิดขึ้นหนนี้เป็นภาคต่อของการโกยคะแนนหลังจากที่ประกาศตัวคัดค้านเรื่องการต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างชัดเจน
ประเด็นนี้ก็ไม่ได้หายไปไหน และท่าทีของพรรคภูมิใจไทยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ยืนยันโดยบทสัมภาษณ์ของ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ หลังประชุมครม.ในวันที่มีการปะทะคารมเดือด เรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวยังไม่ได้เข้าสู่ที่ประชุมครม. เพราะจนถึงขณะนี้สิ่งที่กระทรวงคมนาคมถามไปยังกระทรวงมหาดไทย ยังไร้คำตอบที่กระจ่างชัด อธิบายให้เห็นภาพก็คือถามก. ตอบฮ. เช่นนี้แล้วจึงไม่รู้ว่าฝ่ายรับงานมาดันให้ผ่านจะจัดการกันอย่างไร
การตั้งป้อมจะใช้เสียงข้างมากของที่ประชุมครม.สามารถทำได้ทันที แต่อาจจะต้องรอให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ผ่านพ้นไปก่อน เมื่อถึงเวลานั้นฟันธงไว้ล่วงหน้ารัฐมนตรีของภูมิใจไทยไม่เข้าร่วมประชุมเพื่อให้ 7 เสียงของตัวเองเป็นเสียงข้างน้อย และต้องไปร่วมรับผิดชอบภายหลังหากมีการร้องเรียนกันเกิดขึ้น ขณะที่ปัญหาระหว่างวราวุธกับมนัญญา ฝ่ายระเบิดอารมณ์ได้ยกหูไปหาหัวหน้าพรรครัฐมนตรีหญิงและพี่ชายอย่าง ชาดา ไทยเศรษฐ์ ซึ่งเคยอยู่พรรคเดียวกันมาก่อนแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรประสาคนเข้าใจมิติทางการเมืองว่ามันต้องเป็นเช่นนี้แล
ที่น่าหนักใจแทนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงเป็นปมคลิปเสียงของจอมเชลียร์ที่ท่านผู้นำถึงขั้นบอกว่าได้ฟังคำชี้แจงแล้วก็ให้กระบวนการทางกฎหมายเป็นเครื่องพิสูจน์ หากผิดก็ไม่เอาไว้ สำหรับคนที่รักในศักดิ์ศรีตัวเองถ้าได้ฟังคำให้สัมภาษณ์ที่ว่า งานใหญ่ก็อย่าทำให้เสียหายเท่านั้นเอง “มัน” เป็นคนหนึ่งในคณะทำงาน ก็มีความตั้งใจ น่าคิดอยู่เหมือนกันว่าคนที่รับใช้อย่างถวายหัวนั้นให้ราคา มองเห็นคุณค่าของตัวเองระดับไหน
คงต้องขีดเส้นใต้เหมือนที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเรื่องคุณสมบัติของหัวหน้าและสมาชิกพรรคที่ตนเสนอให้ตั้งว่า รวมพลังหวยสร้างชาติ ต้องเป็นคนเนรคุณทรยศ หมา 2 รางบ่าว 2 นาย พอนายตกต่ำก็เอาหัวนายเก่าไปถวายสวามิภักดิ์กับนายใหม่ เป็นพวกสองบุคลิกต่อหน้านายทำซื่อใสเหมือนหมาเชื่อง ๆ แต่ลับหลังเห่าไปทั่ว ทำตัวกร่าง เพราะมีปลอกคอดี เป็นพวกประจบสอพลอ ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย ไม่พกสมอง พกแต่ลิ้นไว้เลียหน้าแข้งนายไปวัน ๆ จนนายต้องพกผ้าเช็ดหน้าเอาไว้คอยเช็ดทั้งหูทั้งหน้าแข้ง นี่ไงการเมืองยุคปฏิรูปที่มีแต่ถอยหลังลงเหว ไร้อนาคต