พาราสาวะถี
จบเทศกาลสงกรานต์ หมดเวลาฉลองทุกคนต้องหันหน้ากลับมาสู้กับภาระหน้าที่ของตัวเอง สำหรับคนไทยสิ่งที่จะต้องลุ้นกันคือ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19
จบเทศกาลสงกรานต์ หมดเวลาฉลองทุกคนต้องหันหน้ากลับมาสู้กับภาระหน้าที่ของตัวเอง สำหรับคนไทยสิ่งที่จะต้องลุ้นกันคือ ตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะหนักหนาสาหัสเหมือนฉากทัศน์ที่หมอการเมืองแจ้งเตือนไว้ล่วงหน้าหรือไม่ หากทุกคนหย่อนยานในมาตรการเราจะได้เห็นตัวเลขผู้ป่วยหลักแสนรายต่อวัน ซึ่งความจริงจะว่าไปแล้วก่อนสงกรานต์ตัวเลขของผู้ติดเชื้อก็อยู่ที่หลัก 4-5 หมื่นรายอยู่แล้ว ถ้ามีการรวมตัวเลขที่ศบค.แถลงผู้ติดเชื้อที่ผ่านการตรวจด้วยวิธี RT-PCR รวมกับการตรวจแบบ ATK
ทั้งหมดมันไม่ได้เกิดจากความหย่อนยานในมาตรการป้องกันตัวเองแบบครอบจักรวาลของประชาชน แต่มันเป็นเรื่องการบริหารจัดการของภาครัฐ ขณะที่การระบาดหลายระลอกก่อนหน้าแต่ละสายพันธุ์โอกาสติดหรือการแพร่ระบาดไม่ได้ง่ายและเร็วเหมือนโอมิครอน กลับมีมาตรการคุมเข้มกันถึงขนาดล็อกดาวน์ จริงอยู่ที่ว่าความรุนแรงของสายพันธุ์ก่อนหน้าหนักหนาสาหัสมากกว่าเมื่อเทียบกับปัจจุบัน สิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและหมอการเมืองต้องกล้าประกาศความจริงก็คือ การไม่ใช้มาตรการเข้มเหมือนเดิมนั้นเพราะอะไร
เอาให้ชัดรัฐบาลหมดปัญญาที่จะหาเงินมาจ่ายชดเชยหรือดูแลคนทุกกลุ่มได้แล้ว หากต้องวางมาตรการใด ๆ แล้วเกิดผลกระทบ หรือเห็นว่าการมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากแต่ป่วยหนักไม่มาก ตายจำนวนน้อย ระบบสาธารณสุขเอาอยู่ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ เพื่อแลกกับเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังหลักของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและทีมที่ปรึกษา ก็บอกกันมาตรง ๆ ขณะเดียวกันก็มีหมออาชีพอีกจำนวนหนึ่งที่แสดงความกังวลว่าถ้าตัวเลขติดเชื้อพุ่งไม่หยุด มันจะกลายเป็นปัญหาเกินที่จะรับมือ
สิ่งเหล่านี้ต้องพูดกันให้กระจ่าง แจกแจงให้ละเอียด ไม่ใช่กระมิดกระเมี้ยนแล้วใช้วิธีการอธิบายแบบหมอการเมือง เหมือนเลี่ยงบาลีหนีความรับผิดชอบ ส่วนที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสั่งผ่านที่ประชุมครม.ก่อนหยุดยาว ให้รัฐมนตรีทุกคนเปิดเวทีสาธารณะชี้แจงผลงานต่อประชาชน โดยที่ รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาลใช้คำที่แถลงว่า เพื่อเคลียร์ใจปชช. “รัฐบาลทำงานแล้ว” ยิ่งทำให้เห็นถึงความบ่มีไก๊ ในเมื่อมั่นใจว่ามีผลงานไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศโพนทะนายัดเยียดให้ประชาชนยอมรับและเชื่อตามที่ต้องการ
ผลจากการทำงานความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ที่คุยโวโอ้อวดมาเกือบจะ 8 ปี ถ้าดีจริงย่อมมีแต่คำสรรเสริญ ไม่ใช่การไปสร้างไอโอให้คนคิดและเชื่อว่าทำแล้วนะ ดีขึ้นแล้ว ความขัดแย้งแตกแยกไม่มีให้เห็น ทั้งหมดมันก็สวนทางกับสิ่งที่ตัวเองใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจจนต่อเนื่องมาถึงการสืบทอดอำนาจ ย้ำแล้วย้ำอีก ไม่ใช่เพราะโควิด-19 ไม่ใช่เพราะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทุกวิกฤตบนโลกใบนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ภายใต้ปัญหาเหล่านั้นหากผู้นำประเทศมีสติปัญญามากพอ ย่อมมองเป็นโอกาสที่จะใช้เป็นบทพิสูจน์ฝีมือ และศักยภาพในการทำงาน
คาบเกี่ยวช่วงสงกรานต์มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิง 2 ประการ ทั้งส่วนที่ดีและเสียหายที่ต้องให้พูดถึง เรื่องหนึ่งเป็นกรณีของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องตัดใจไขก๊อกทิ้งทุกตำแหน่งและความเป็นสมาชิกพรรคเก่าแก่ เพื่อไปต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมตามที่บอก จากการถูกผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดี ที่พนักงานสอบสวนสน.ลุมพินี ทำการยื่นคำร้องขอฝากขังผัดแรกผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปแล้วข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา และกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล
ปฏิกิริยาของสังคมต่อเรื่องดังกล่าวมีหลากหลาย ฝ่ายสนับสนุนพรรคเก่าแก่โดยเฉพาะสมาชิกของพรรคบางรายถึงกับประกาศยกย่องสปิริตของอดีตรองหัวหน้าพรรครายนี้เป็นการยกใหญ่ ในขณะที่ฝ่ายเรียกร้องและปกป้องสิทธิสตรีก็มองว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี หากแต่ความเป็นพรรคใหญ่และเป็นพรรคในซีกรัฐบาลด้วย ควรต้องแสดงจุดยืนอย่างหนึ่งอย่างใดให้สังคมได้เห็น แม้ทั้งหมดมันต้องไปจบที่กระบวนการยุติธรรม แต่จากที่เห็นผู้เสียหายดาหน้าออกมาแสดงตัว ต้องยอมรับกันว่างานนี้สาหัสแน่นอน
ส่วนประเด็นน่ายินดีกับผู้หญิงเก่ง และสังคมก็อยากเห็นท่าทีจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจว่าจะแสดงความรู้สึกต่อเรื่องนี้อย่างไร นั่นก็คือการมีศิลปินหญิงเดี่ยวของไทยคนแรก “มิลลิ” ดนุภา คณาธีรกุล ไปขึ้นแสดงบนเวทีเทศกาลดนตรีโคเชลลา ที่สหรัฐอเมริกา ถือเป็นการสร้างชื่อเสียงอย่างหนึ่งสำหรับประเทศไทย ที่ผ่านมาท่านผู้นำจะเกาะกระแสคนเหล่านี้ในการร่วมแสดงความยินดี หนนี้ต้องจับตาและน่าจะมีสื่อทำเนียบรัฐบาลกล้าถามด้วย
เหตุผลที่สังคมอยากได้ยินเสียงชื่นชมจากปากของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อศิลปินหญิงวัยเพียง 19 ปีรายนี้ก็เพราะ เมื่อปีที่แล้วท่านผู้นำส่งทนายไปแจ้งความดำเนินคดีที่สน.นางเลิ้งเพื่อเอาผิดมิลลิ ในข้อหาดูหมิ่นตามมาตรา 393 ของกฎหมายอาญา อันเนื่องมาจากการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งในเวลานั้นรัฐบาลถูกกระแสสังคมโจมตีอย่างหนัก แต่การถูกเล่นงานก็ไม่ได้ทำให้ศิลปินหญิงรายนี้หยุด call out แต่อย่างใด
การได้ไปแสดงในเทศกาลดนตรีดังกล่าวอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไรนักในสายตาของฝ่ายกุมอำนาจ แต่ถ้าจะมองเห็นสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย้ำนักย้ำหนักในประเด็น Soft Power ผลงานที่มิลลิได้สร้างสรรค์จนเป็นที่ยอมรับบนเวทีระดับโลก ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การสนับสนุน เหมือนอย่างที่ “ป๋าเต็ด” ยุทธนา บุญอ้อม เจ้าพ่อเทศกาลดนตรีของไทยโพสต์ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า นี่แหละ Soft Power ของจริง จากฝีมือจริง ๆ
คนที่จะแสดงทัศนะต่อสิ่งนี้ต้องเป็นคนที่อยู่ในแวดวงและรู้จริง สิ่งที่ป๋าเต็ดมองเห็นก็คือ โชว์พาร์ตของมิลลิในโคเชลลาดีมาก ดีแบบที่เราร่วมภูมิใจกับเธอได้เลย เธอยังคงเป็นตัวเอง คาแร็กเตอร์ขี้เล่นแต่เก่งทุกอย่างทั้งร้อง เต้น แร็ป ได้โชว์หมด ในเวลาแค่ไม่กี่นาที แถมยังชวนคนมากินข้าวเหนียวมะม่วงที่เมืองไทยอีกด้วย ก่อนจะตะโกนปิดท้ายลั่นเวทีว่า “กูไม่ได้ขี่ช้างโว้ย” ประโยคนี้อาจตะโกนบอกคนทั้งโลกว่าประเทศไทยมีอะไรมากกว่าที่ทุกคนรู้ และอาจจะตะโกนบอกบางคนที่ชอบพูดคำว่าซอฟต์พาวเวอร์ ๆ บ่อย ๆ ถ้าสนับสนุนไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แค่ไม่ต้องขัดขวาง พวกเราไปกันเองได้ เพราะ “กูไม่ได้ขี่ช้างโว้ย”