หุ้นกลุ่มปั๊มน้ำมันดี๊ด๊าเลิกอุ้มดีเซล

ราคาขายปลีกดีเซลที่สูงขึ้นถือเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มปั๊มน้ำมัน เนื่องจากการปรับเพดานการตรึงราคาดีเซลจะช่วยผ่อนคลายค่าการตลาดที่ตกต่ำ


เส้นทางนักลงทุน

ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ราคาน้ำมันดีเซลจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นไปตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) และหลังจากนั้น กบน. จะพิจารณาปรับราคาเป็นขั้นบันได เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชน รวมถึงเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องมาตรการลดค่าครองชีพประชาชนในส่วนที่เกี่ยวกับการตรึงราคาน้ำมันดีเซล

การอุดหนุนจากกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (ณ วันที่ 26 เมษายน 2565) ติดลบ 56,278  ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 24,302  ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 31,976  ล้านบาท

ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบดังกล่าว เนื่องจากถูกใช้กลไกและเครื่องมือที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศในช่วงภาวะวิกฤตไม่ให้สูงเกินไป จนเกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศ โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมุ่งเน้นการอุดหนุนและชดเชยในระยะสั้นชั่วคราวเพื่อให้เกิดระเบียบวินัยทางการเงินการคลังเป็นสำคัญ

ภายหลังการเข้าอุดหนุนของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาขายปลีกดีเซลถูกตรึงอยู่ที่ลิตรละ 30 บาท ดังนั้นเมื่อการตรึงราคาสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2565 ราคาขายปลีกดีเซลในประเทศจะปรับเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

การยกเลิกตรึงราคาลดการอุดหนุนดังกล่าวจะรวมถึงน้ำมันเบนซิน E85 โดยในปัจจุบันมีผู้ใช้น้ำมันดีเซลและเบนซิน รวมกันทั้งสิ้นราว 100 ล้านลิตรต่อวัน แบ่งเป็นประชาชนผู้ใช้น้ำมันดีเซลวันละกว่า 65 ล้านลิตร  หรือ ราว 65% ของการใช้น้ำมันทั้งหมด ผู้ใช้น้ำมันดีเซลส่วนใหญ่ ประกอบด้วย รถบรรทุกขนส่ง รถกระบะขนส่ง รถโดยสารสาธารณะ ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลัก

หากไม่มีการอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาน้ำมันดีเซลจะอยู่ที่ประมาณ 40 บาทต่อลิตร ที่ผ่านมามีการอุดหนุนราว 9-11 บาทต่อลิตร ขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาดโลก เมื่อลดการอุดหนุนลงเหลือเพียงครึ่งเดียวตามมติคณะรัฐมนตรี ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกจะปรับมาอยู่ที่ประมาณ 32 บาทต่อลิตร จากนั้นจะลดการชดเชยรูปแบบขั้นบันไดครั้งละไม่เกิน 1 บาท แต่จะไม่เกิน 35 บาทต่อลิตร

ขณะเดียวกัน ในส่วนของน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมก็จะทยอยปรับลดการชดเชยลงเช่นกัน โดยจะปรับลดการชดเชยลงสัปดาห์ละ 2 บาท และมีเป้าหมายจะจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลพรีเมียมลิตรละ 1 บาท

ส่วนน้ำมันเบนซิน E85 ที่มีประชาชนใช้ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน ตอนนี้กองทุนฯ ชดเชยอยู่ที่ 4.53 บาท ในวันที่ 1 พฤษภาคม การอุดหนุนจะลงเหลือ 2.53 บาท และลดลงอีก 1 บาท ในวันที่ 8 พฤษภาคม จากนั้นในวันที่ 15 พฤษภาคมจะลดลงอีก 1 บาท คงเหลือการอุดหนุนที่ 0.53 บาท ทำให้ภายในเดือนพฤษภาคม ราคาหน้าปั๊มของ E85 จะเด้งขึ้นมา 4 บาท จากราคา ณ ขณะนั้น

ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน หรือ ปั๊มน้ำมัน ขยับขานรับการปรับลดชดเชยดังกล่าวโดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ปรับตัวขึ้น 9.36% จากระดับ 8.55 บาท (22 เมษายน) มาที่ 9.35 บาท (29 เมษายน)

หุ้นบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพิ่มขึ้น 0.4% จากระดับ 24.90 บาท มายืน 25 บาท, หุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ดีดขึ้น 3.15% จากระดับ 32 บาท มา 33  บาท ส่วนหุ้นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG พุ่ง  7.52%  จาก 13.30 บาท มา 14.30  บาท และบริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO ปรับขึ้น 1.21% จาก 3.30  บาท มา 3.34 บาท

ราคาขายปลีกดีเซลที่สูงขึ้นถือเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มปั๊มน้ำมัน เนื่องจากการปรับเพดานการตรึงราคาดีเซลจะช่วยผ่อนคลายค่าการตลาดที่ตกต่ำ เช่น PTG มีค่าการตลาดเฉลี่ยในไตรมาส 1 ปีนี้ที่ราว 1.60-1.7 บาทต่อลิตร เพราะถูกควบคุมราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดต่ำกว่าจุดคุ้มทุน  เมื่อเปลี่ยนจากการตรึงราคามาเป็นการอุดหนุนราคา ค่าการตลาดจะเพิ่มเป็น 1.9 บาทต่อลิตร จึงส่งผลดีต่อกลุ่มปั๊มน้ำมัน

จากก่อนหน้านี้มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบมายังธุรกิจปั๊มน้ำมันโดยตรง เพราะธุรกิจนี้มีโครงสร้างรายได้และยอดขายที่สูง แต่อัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำ จากภาวะความผันผวนราคาน้ำมัน ภาษี ค่าการตลาด และต้นทุนอื่น ๆ

ผู้ประกอบการปั๊มน้ำมันจึงต่างเร่งกระจายรายได้ไปยังธุรกิจนอนออยล์มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ปัจจุบัน OR มีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจนอนออยล์มากที่สุด 40.70% รองลงมาคือ PTG มีสัดส่วน 16.60% ส่วน BCP มาเป็นอันดับ 3 ที่ 15.60% และ ESSO ที่ 12%

ในบรรดาผู้ประกอบการปั๊มน้ำมัน PTG มีสัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันมากที่สุด 96% กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริษัทขายในสัดส่วนที่มากที่สุด 72% เป็นน้ำมันดีเซล ส่วนที่เหลือ 28% เป็นน้ำมันเบนซิน ส่วน OR สัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 91.2%, BCP อยู่ที่ 70% และ ESSO มีสัดส่วน 85% ของรายได้

ดังนั้นเมื่อ กบน.มีมติยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร และลดการชดเชยลงแบบขั้นบันได จึงเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มปั๊มน้ำมัน ราคาจึงปรับตัวขึ้นขานรับมติดังกล่าว

Back to top button