เปิดประเทศฟื้นท่องเที่ยวชุบชีวิตโรงแรม

แม้ยังต้องรอเวลาให้นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักจากจีนกลับมา แต่ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมของไทยก็น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง


เส้นทางนักลงทุน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความพึงพอใจกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทย ภายหลังจากรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการและเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยประเมินว่า หากสถานการณ์ไม่แย่ไปกว่านี้ ประเทศไทยน่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้ประมาณกึ่งหนึ่ง หรือ ราว ๆ 20 ล้านคนของยอดนักท่องเที่ยวเดิมที่ 40 ล้านคน และคาดว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยคึกคักมากในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ไปจนถึงปีหน้า

การตัดสินใจยกเลิกมาตรการ Test & Go เดินหน้าเปิดประเทศของรัฐบาลไทยสอดคล้องกับประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก เพราะปัจจุบันมีประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเต็มรูปแบบแล้ว 104 ประเทศ ซึ่งทุกประเทศต่างส่งเสริมบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยการผ่อนคลายเงื่อนไขการเดินทางเข้าประเทศ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว หลังจากภาคการท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักงันเพราะเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิดมานานกว่า 2 ปี

การเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม  แน่นอนว่าจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เริ่มฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยคาดว่าน่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยเฉลี่ยเดือนละไม่ต่ำกว่า 300,000 คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่เฉลี่ยเดือนละ 166,000 คน เพราะในช่วงนั้นไทยยังมีมาตรการควบคุมโควิดเข้มงวด ซึ่งถือว่ายังไม่มีการเปิดประเทศอย่างชัดเจน

ภายหลังการเปิดประเทศแล้วรวมถึงการประกาศให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่นของไทยในเดือน กรกฏาคมนี้ และมาตรการในประเทศเพื่ออยู่ร่วมกับโควิด จะผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง มีการประเมินว่าไทยจะสร้างรายได้ภาคท่องเที่ยวทั้งจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย และตลาดไทยเที่ยวไทยด้วยกันเองที่เริ่มจะฟื้นตัวขึ้นเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่เมื่อปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตโควิด ไทยเคยต้อนรับนักท่องเที่ยวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 39.9 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 11.1 ล้านคนเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน

โดยในปี 2565 นี้ คาดการณ์กันว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยจะอยู่ที่ราว 4-5.5 ล้านคน สามารถสร้างรายได้จากตลาดต่างชาติเที่ยวไทยได้ 2.4 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมกับตลาดไทยเที่ยวไทยที่เริ่มฟื้นตัวแล้วจากได้รับปัจจัยส่งเสริมช่วงเทศกาลสงกรานต์, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน และ โครงการคนละครึ่งแล้ว  รายได้รวมของภาคการท่องเที่ยวในปีนี้อาจจะแตะ 9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 6.5 แสนล้านบาทจากปีก่อนเลยทีเดียว

นอกจากนี้แนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศของคนไทย ยังเพิ่มมากขึ้นจากการที่หลายประเทศเริ่มปลดล็อกเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวโดยไม่ต้องกักตัว เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจาก 3 ปัจจัยคือ 1. สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักท่องเที่ยวรัสเซีย และการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวเข้าไทยของนักท่องเที่ยวชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปและสหรัฐอเมริกา

โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 4.97 แสนคน นักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกที่เข้ามาท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1. รัสเซีย จำนวน 51,360 คน 2. เยอรมนี จำนวน 38,359 คน 3. สหราชอาณาจักร จำนวน 31,712 คน 4. ฝรั่งเศส จำนวน 29,855 คน และ 5. สหรัฐอเมริกา จำนวน 25,315 คน ผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ยังอาจส่งผลให้เกิดวิกฤตราคาพลังงานกระทบเชื่อมโยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกให้ชะลอลงด้วย

2. จำนวนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักยังไม่มีแนวโน้มจะกลับมา เนื่องจากรัฐบาลจีนใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศเข้มงวด เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดตามนโยบายปลอดโควิดของจีน ดังนั้นนักท่องเที่ยวจีนจึงยังไม่สามารถมาเที่ยวไทยได้อย่างปกติ

และ 3. การแข่งขันที่เข้มข้นเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศคู่แข่งขันสำคัญของไทยในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกใต้ เพราะทุกประเทศต่างหวังพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแทบทั้งสิ้น

ด้านธุรกิจโรงแรมหากจะพลิกฟื้นได้อัตราการเข้าพักจะต้องเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เนื่องจากรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักยังคงเดิม ขณะที่บางโรงแรมมีการลดราคาลงแรงในช่วงสถานการณ์โควิด และยังไม่มีวี่แววว่าจะสามารถปรับขึ้นราคาที่พักขึ้นได้ในระยะอันใกล้  ในเวลาเดียวกันธุรกิจโรงแรมต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการบริหารจัดการโรงแรม, ต้นทุนพลังงาน, ต้นทุนราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นไม่แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ รวมทั้งยังมีปัญหาการขาดแคลนบุคลากร เนื่องจากในช่วงการระบาดของโควิด บรรดาผู้ประกอบการต้องยุติธุรกิจลงชั่วคราว และจำเป็นต้องเลิกจ้างพนักงานไปกว่า 50% จากจำนวนที่เคยมีก่อนการระบาดของโควิด

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม 2 รายใหญ่ของไทย คือ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ต่างออกมาระบุว่า หลังการเปิดประเทศยอดจองห้องพักโรงแรมในเครือช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 ดีขึ้น แม้จะอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีซั่นก็ตาม ขณะนี้ตัวเลขอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate)  ยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 30% จากไตรมาส 1 เฉลี่ยที่ 35%

ตัวเลขนี้สะท้อนว่าประเทศไทยน่าจะประสบความสำเร็จในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกครั้ง แม้ยังต้องรอเวลาให้นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักจากจีนกลับมา แต่ภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมของไทยก็น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง

Back to top button