1,600 เอาไม่อยู่?
หากมองตามเนื้อผ้าที่เกิดขึ้นจะเห็นว่า ปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้อให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อจริง ๆ จึงมีแรงขายพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย
*หากมองตามเนื้อผ้าที่เกิดขึ้นจะเห็นว่า ปัจจัยหลายอย่างไม่เอื้อให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อจริง ๆ จึงมีแรงขายพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะแรงขายที่มาจากนักเล่นสถาบัน กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้หุ้นไทยตกอยู่ในสภาพขาลงอย่างเต็มตัว จนนำมาสู่คำถามที่ว่า แนวรับสำคัญทางจิตวิทยา 1,600 จุด ยังเป็นจุดที่เหมาะต่อการรับหุ้นเข้าพอร์ตหรือเปล่า? เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ ไม่มีตัวแปรไหนที่ทำให้เชื่อว่า ดัชนีจะหยุดลงเมื่อลงมาแตะระดับดังกล่าวน่ะซี
*สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องมาไล่เรียงไทม์ไลน์สำคัญสำหรับการลงทุนอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ปัจจัยภายในที่เต็มไปด้วยปัญหาข้าวของแพง กำลังซื้อของคนในประเทศหดตัวอย่างรุนแรง หรือแม้กระทั่งราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นไม่หยุด ล้วนเป็นตัวบั่นทอนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยตรง ซึ่งอาจทำให้นักวิเคราะห์ต้องปรับระดับเหมาะสมของดัชนีในปี 65 ใหม่ไงล่ะคะ
*ส่วนปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยแย่ลงอีก “โมนิก้า” คงมองไปยังเรื่องสงครามระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ที่ทอดระยะเวลายาวนาน จนทำให้เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในภาวะชะลอตัวอีกครั้ง ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ต้นทุนชีวิตของคนทั้งโลกสูงขึ้น รวมทั้งเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้เงินไหลกลับ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกหนักในช่วงที่ผ่านมา และน่าจะเป็นการตกที่ต่อเนื่อง และยาวนานพอสมควรนะจะบอกให้
*ฉะนั้นการที่ตลาดหุ้นไทยทรุดตัวลงไปถึงระดับ 1,606.99 จุด ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาเหมือนจะมีลุ้นอีกเฮือก แต่สุดท้ายก็โดนกดลงมาปิดที่ระดับ 1,604.49 จุด ลบไป 25.09 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.16 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นสัญญาณเตือนที่บอกให้นักเล่นหุ้นรู้ว่า แนวรับสำคัญบริเวณ 1,600 จุดอาจต้านแรงขายที่ออกมามากมายจนเอาไม่อยู่! แถมนักเล่นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเริ่มตัดใจขายขาดทุนแบบจริงจังแบบนี้ ตัวใครตัวมันดีกว่านะคะ
*ขนาดหุ้นขายไก่ขายหมูอย่าง CPF ยังถูกแรงขายกระหน่ำใส่ไม่เลี้ยง จนหุ้นเกิดอาการคอตกมาตั้งแต่ต้นปี และมีแนวโน้มที่จะไหลลงไปหาโลว์เก่าบริเวณ 19 บาทแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับคนที่จะยื่นมือเข้ามารับเผือกร้อน เพราะการลงมายืนปิดที่ระดับ 23.30 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 0.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 457 ล้านบาท มันคืออาการเซื่องซึมที่ไม่มีใครรู้ว่า จะกลับมาฟิตปั๋งเมื่อไหร่เจ้าค่ะ
*เช่นเดียวกับอาการหุ้น EGCO ก็อยู่ในลักษณะถูกเทลงมาเรื่อย ๆ ทั้งที่ช่วงกลางเดือน พ.ค. ไต่เพดานขึ้นไปถึง 184 บาท แต่วานนี้กลับลงมายืนปิดที่ระดับ 161 บาท ลบไป 3 บาท หรือลงไป 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 263 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเกมที่ชี้ชัดว่า กองทุนไม่เอาแล้วจริง ๆ ผสานกับยุคทองของธุรกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว จึงมีคำถามตามหลังว่า PE 20 เท่าเหมาะต่อการเล่นจริงเหรอจ๊ะ
*คล้ายคลึงกับสถานการณ์ของหุ้น HMPRO ซึ่งทำผลงานได้ค่อนข้างดีในปีที่ผ่านมา แถมไตรมาส 1 ก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็มีคำถามตามมาว่า ไตรมาส 2 ผลงานยังจะดีไหม? เพราะทุกคนรับรู้อยู่เต็มอกว่า ไตรมาส 2 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง ผนวกกับมีเรื่องน้ำมันแพงเข้ามาเล่นงานอีกดอก “โมนิก้า” จึงสงสัยเหลือเกินว่า การยืนปิดที่ระดับ 14.40 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 373 ล้านบาท น่ารับจริงเหรอตัวเอง!
*ส่วนรายที่โดนก่อนใคร “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น AMATA ในทันที เพราะสัปดาห์ก่อนเพิ่งโดนจัดหนักชนิดโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว ขณะที่วานนี้ก็โดนเล่นงานหนักเหมือนเดิมอีกวัน จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ระดับ 18.20 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 5.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 305 ล้านบาท พร้อมกับมีเสียงอุทานของผู้รู้ถามกันให้ขวักไขว่ว่า เกิดอะไรขึ้น? จึงกลายเป็นหุ้นที่ต้องถอยห่างไปก่อน เพราะแรงขายเที่ยวนี้เป็นลักษณะหนีตายไงล่ะคะ
*ประเด็นข้างต้นทำให้เดี๊ยนนึกถึงหุ้น BROOK ขึ้นมาทันที เพราะก่อนหน้าก็ประโคมข่าว “บิตคอยน์” เสียใหญ่โต จนราคาหุ้นพุ่งทะยานอย่างร้อนแรง พร้อมกับขึ้นไปทำไฮที่ระดับ 1.20 บาท แต่ทันทีที่ราคาบิตคอยน์ไหลลงมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดลงมายืนแถวสามหมื่นเหรียญ ก็ทำให้พวกนกรู้รีบสละเรือกันเป็นแถว เพราะมันเห็นกันเต็มสองลูกตาว่า กำไรไม่มาตามนัดที่โม้ไว้เยอะ “โมนิก้า” จึงไม่แปลกใจที่วานนี้ราคาหุ้นลงมาปิดที่ 0.76 บาท ลบไป 0.09 บาท หรือลงไป 10.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 92 ล้านบาท เพราะในทางทฤษฎีราคาหุ้นต้องลงอีกพะยะค่ะ