ลดภาษีดีเซล..ลดแรงเสียดทาน
ถือว่า “ให้มากกว่าที่ขอ” มติครม. (17 พ.ค.) อนุมัติให้ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีกลิตรละ 5 บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ถือว่า “ให้มากกว่าที่ขอ” มติครม. (17 พ.ค.) อนุมัติให้ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีกลิตรละ 5 บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มีผลตั้งแต่ 21 พ.ค.-20 ก.ค. 65 เพื่อช่วยลดปัญหาราคาน้ำมันดีเซล ที่ถือเป็นต้นทุนค่าขนส่งสินค้าต่าง ๆ หลังมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท รอบแรกสิ้นสุดลง 20 พ.ค.นี้
รอบนี้รัฐบาลยอมสูญเสียรายได้ 20,000 ล้านบาท หลังจากรอบแรกสูญรายได้ไปแล้วกว่า 17,100 ล้านบาท
การปรับลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาท รอบนี้ จะทำให้ราคาขายปลีกดีเซลลดลงต่ำกว่า 30 บาททันที จากล่าสุดอยู่ที่ 31.94 บาททำให้แผนปรับขึ้นราคาแบบขั้นบันไดเป็นต้องพักไว้ชั่วคราว แต่ว่าผู้ใช้ดีเซลอย่าได้หลงใหลได้ปลื้มหรือฝันหวานกันไปนะว่าช่วงเช้าตรู่วันที่ 21 พ.ค.ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะลดฮวบเหลือ 26.94 บาท
ด้วยความที่กองทุนน้ำมันฯ ยังต้องอุ้มไว้ลิตรละ 9.92 บาท จนกองทุนฯ มีตัวเลขติดลบกว่า 72,000 ล้านบาท ดังนั้นการลดภาษีดีเซลครั้งนี้ ก็เป็นจังหวะที่กองทุนฯ จะหาโอกาสลดการอุดหนุนลงไปด้วย
นั่นหมายถึงช่วงเช้าตรู่วันที่ 21 พ.ค.นี้ราคาขายปลีกดีเซล อาจลงมาอยู่แถว ๆ 29 บาทปลาย ๆ ส่วนกองทุนน้ำมันฯ ลดการอุดหนุนลงเหลือแค่ 7-8 บาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบน้อยลงได้มากพอควรเลยทีเดียว..!?
ส่วนข้อเสนอของกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการปรับสูตร B5 ลงเหลือ B3 หรือ B2 ดูเหมือนว่าต้องเก็บไว้ในลิ้นชักก่อน เพราะการปรับลดภาษีสรรพมิตน้ำมันครั้งนี้ น่าจะเพียงพอทำให้ปัญหาราคาขายปลีกดีเซล อยู่ในระดับที่พอรับมือได้ ยกเว้นซะแต่ว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะสูงขึ้นมากไปกว่านี้
การยอม “ทุบหม้อข้าวตัวเอง” ของกระทรวงการคลังครั้งนี้ ถือว่าช่วยลดแรงเสียดทานทางการเมือง จาก 2 พรรคร่วมรัฐบาล ที่นั่งคุมกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงคมนาคมได้ไม่น้อย..
อีกนัยทางการเมือง..นี่คืออีกหนึ่งวิธีการเรียกคะแนนเสียงแม่ยก เพื่อการตระเตรียมการเลือกตั้งครั้งใหม่ ในทำนองที่ว่า “ซื้อใจชาวบ้าน เพื่อฐานเสียงของเรา” เพราะขืนขัดใจชาวบ้านหรือฐานทุนพรรค..การเลือกตั้งครั้งหน้ามีปัญหาแน่นอน.!?
ประเด็นที่น่าสนใจเมื่อปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงแล้วบรรดาราคาสินค้าต่าง ๆ ที่ทยอยปรับขึ้นล่วงหน้าไปแล้วจะปรับลดลงตามหรือไม่ และรวมถึงค่าขนส่งสินค้าจะยอมปรับลงด้วยหรือไม่ เพราะด้วยข้อเท็จจริงที่เห็นคือ “ขึ้นง่ายแต่ลงยาก” กันมาตลอด
เรื่องนี้ทั้ง “กระทรวงพาณิชย์” และ “กระทรวงคมนาคม” เห็นทีต้องแสดงบทบาทหรือเทคแอคชั่นมากกว่านี้แล้วกระมัง..!??