AOT จะผ่าน 70 บาทไหม?

บิ๊กแคปที่ดันดัชนีขึ้นมาต่อเนื่องคือ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ให้ระวังการขายทำกำไรเมื่อราคาขึ้นมาบริเวณ 69.50–70.00 บาท


ดัชนี SET เมื่อวานนี้ (23 พ.ค.) บวกได้ 12.33 จุด ปิดที่ 1,635.28 จุด

ทว่ามูลค่าการซื้อขายกลับเบาบาง เพียง 58,704 ล้านบาท

และถือเป็นวอลุ่มน้อยมากในรอบเกือบ 5 เดือน หรือนับตั้งแต่ 28 ธันวาคม 2564

โดยในวันที่ 27 ธ.ค. 64 วอลุ่มซื้อขายอยู่ที่ 51,480 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงใกล้สิ้นปีที่มูลค่าซื้อขายจะเบาบาง

วอลุ่มที่ลดลงสะท้อนให้เห็นถึงนักลงทุนน่าจะ “ความกังวล” หรือยังขาดความเชื่อมั่นต่อการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ เฉพาะจากปัจจัยต่างประเทศ

โดยเฉพาะตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ความมั่นใจที่ขาดหายไปของนักงทุน

กลับสวนทางกลับทิศทางของตลาดหุ้นที่ดัชนีปิดบวกร้อนแรงมา 2 วัน คือวันศุกร์ที่ 23 พ.ค.ปิดบวก 16.97 จุด

และเมื่อวานนี้บวกต่ออีก 12.33 จุด

ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศกลับยังซื้อสุทธิ (SET) ต่อเนื่องอีก 2,093 ล้านบาท

ทำให้นับจากต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาจนถึงวานนี้ ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยจำนวน 6,026 ล้านบาท

ดันตัวเลขซื้อสุทธินับจากต้นปี มียอดรวมกว่า 127,760 ล้านบาท

ในเดือน พ.ค.นี้ นอกจากต่างชาติจะซื้อสุทธิแล้ว

ยังพบว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนต่าง ๆ กลับมามียอดซื้อสุทธิ 5,738 ล้านบาท แต่หากนับจากต้นปี 65 ยังขายสุทธิกว่า 89,580 ล้านบาท

นักวิเคราะห์มองว่า แนวโน้มครึ่งหลังของปีนี้

นักลงทุนต่างประเทศ น่าจะยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อไป

เพียงแต่ว่าในช่วงนี้อาจจะมีสลับขายเพื่อทำกำไรออกมาบ้าง ทำให้ระยะสั้น อาจจะดูขาดเสถียรภาพในการเข้าซื้อไปบ้าง

หุ้นกลุ่มเปิดเมืองยังคงอยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศ

มีคำแนะนำว่า หากราคาย่อตัว ให้เข้าสะสมได้ เช่น MINT CENTEL ERW BA M CPALL

ส่วนบิ๊กแคปที่ดันดัชนีขึ้นมาต่อเนื่องคือ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT ให้ระวังการขายทำกำไรเมื่อราคาขึ้นมาบริเวณ 69.50–70.00 บาท

ซึ่งเมื่อวานนี้ราคาปิดที่ระดับ 69.50 บาทพอดี

ราคา AOT ในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมา ราคาปิดบวกต่อเนื่อง

หรือจากระดับ 66.00 บาท เมื่อวันที่ 12 พ.ค. 65 มาจนถึงวานนี้ วิ่งขึ้นมาแล้ว 5.30%

หุ้นขนาดใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคป 9.86 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับ 2 ในตลาดหุ้นไทย มีเพียงนักลงทุนสถาบันและต่างชาติเข้านั่นแหละที่จะสามารถพาหุ้นบิ๊กแคปตัวนี้ขึ้นมาขนาดนี้ได้

เข้าไปดูราคาเป้าหมายของ AOT ใน settread

พบว่า ราคาเป้าหมายสูงสุดคือ 83.00 บาท (บล.ธนชาต)

ราคาต่ำสุด 53.00 บาท (บล.พาย)

ส่วนราคา IAA Consensus Target Price จะอยู่ที่ 72.00 บาท

AOT รายงานผลประกอบการล่าสุดงวด Q2/65 ขาดทุนสุทธิ 3.28 พันล้านบาท

แม้ว่าผลขาดทุนจะลดลง แต่ก็เป็นการขาดทุนที่สูงกว่าสูงกว่า Consensus คาดการณ์กันไว้ 17%

มีการประเมินว่า นักท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักเหมือนช่วงก่อนโควิด ก็น่าจะปี 2566 และนั่นน่าจะทำให้ AOT กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หรือเริ่มมีกำไรได้ตามปกติ

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่า AOT จะมีกำไรในปี 2566 ประมาณ 1.27 หมื่นล้านบาท

บล.เคทีบีเอสที คาดว่า AOT มีกำไรปีหน้า 6.8 พันล้านบาท

และบล.คิงส์ฟอร์ด คาด AOT มีกำไรปี 65 ที่ 1.24 หมื่นล้านบาท

แม้ตัวเลขคาดการณ์กำไรจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ถึงยังไง AOT จะพลิกกลับมามีกำไรแน่นอนในปี 2565/2566

ส่วนราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน หากเทียบกับราคาหุ้นก่อนช่วงโควิดที่อยู่บริเวณ 75 บาท +/- เล็กน้อย

รวมถึงราคาเป้าหมายเฉลี่ยล่าสุดที่ 72.00 บาท

ถือว่า อัพไซด์เหลืออยู่ค่อนข้างจำกัด

หากราคาผ่าน 70.00 บาท ขึ้นมาได้

น่าจะมีแรงขายทำกำไรกันออกมาบ้างแหละ

Back to top button