พาราสาวะถีอรชุน
เอ่ยปากขอโทษผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติในโอกาสที่ผรุสวาทด่าสื่อไปหลายฉาด อย่างที่บอกว่าทุกถ้อยคำล้วนแล้วแต่รุนแรง แม้จะยังไม่เห็นท่าทีของสมาคมวิชาชีพสื่อออกมาปกป้องการถูกคุกคามอย่างไร แต่การยอมรับความจริงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ช่วยสะท้อนภาพคนที่ไปนั่งยังที่สูงว่า เมื่อมีความเครียดมาครอบงำประกอบกับทำบางเรื่องไม่ได้ดั่งใจ ย่อมน็อตหลุดเป็นธรรมดา
เอ่ยปากขอโทษผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติในโอกาสที่ผรุสวาทด่าสื่อไปหลายฉาด อย่างที่บอกว่าทุกถ้อยคำล้วนแล้วแต่รุนแรง แม้จะยังไม่เห็นท่าทีของสมาคมวิชาชีพสื่อออกมาปกป้องการถูกคุกคามอย่างไร แต่การยอมรับความจริงของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ช่วยสะท้อนภาพคนที่ไปนั่งยังที่สูงว่า เมื่อมีความเครียดมาครอบงำประกอบกับทำบางเรื่องไม่ได้ดั่งใจ ย่อมน็อตหลุดเป็นธรรมดา
ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อหลุดแล้วจะหลุดเลยหรือเรียกสติกลับมาแล้วลุยงานหนักต่อ ที่ท่านบอกว่าบางครั้งโมโหเพราะถูกยั่วยุนั้น ในฐานะปุถุชนคนธรรมดาก็พอจะเข้าใจอารมณ์ได้ แต่เมื่ออาสาที่จะเข้ามาเป็นบุคคลสาธารณะและต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้ว ควรต้องมีวุฒิภาวะให้มากกว่านี้ นี่ขนาดว่าบทบาทของสื่อก็ปรับตัวตามสถานการณ์มากกว่ารัฐบาลปกติไปมากพอสมควร
อาจจะเป็นปกติวิสัยของคนที่ได้อำนาจด้วยวิธีการเช่นนี้ ต้องอาศัยความเด็ดขาดแต่ในยุคที่โลกแห่งข้อมูลข่าวสารพัฒนาไปไกลแล้ว วิธีการของผู้นำเผด็จการแบบเดิมๆจึงต้องเปลี่ยนไป เช่นเดียวกันกับที่ “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาลตั้งคำถามต่อ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ว่าจุดยืนในการเคลื่อนไหวเพื่อ ทักษิณ ชินวัตร เปลี่ยนไปหรือยัง
จึงได้รับคำตอบกลับมาจากตุ๊ดตู่ว่า ตนมีจุดยืนเพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยชัดเจน เปิดเผยและไม่รับใช้ใครคนใดคนหนึ่ง รวมทั้งไม่ได้ต่อสู้ทางการเมืองเพื่อทักษิณ แต่สู้เพื่อประชาธิปไตยของประชาชน ก่อนจะย้อนถามไก่อูกลับไปว่าจุดยืนต่อประเด็นเรื่องสถาบันนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องผังล้มเจ้ากำมะลอแต่อย่างใด
หากแต่ตั้งคำถามถึงกรณีนายทหาร 2 นาย ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจทางการเมืองเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ถูกกล่าวหาพัวพันแอบอ้างไปหาประโยชน์จนต้องหนีออกนอกประเทศ โดยชี้ชวนให้โฆษกรัฐบาลติดตามเหตุการณ์แอบอ้างเบื้องสูง ที่สื่อรายงานไปไกลถึงการหาผลประโยชน์จากค่าหัวคิวกันอย่างไรและลุกลามจากโครงการปั่นเพื่อแม่หรือไบท์ฟอร์มัมไปสู่อุทยานราชภักดิ์
โดยที่โฆษกรัฐบาลกลับแถลงว่า ไม่พบทหารทำผิด แต่มีนายทหาร 2 คนถูกกล่าวหา ซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพลเอกประยุทธ์ และยังเป็นกำลังสำคัญในการยึดอำนาจ ดังนั้น เมื่อปัดไม่พ้นเกิดจวนตัวขึ้นมาจึงต้องกลับมาถามหาจุดยืนของตัวเอง ทั้งๆ ที่งานเกี่ยวกับเบื้องสูง จากไบท์ฟอร์มัมถึงอุทยานราชภักดิ์ ต้องสะอาด ปราศจากมลทินมัวหมอง โครงการแบบนี้บังอาจกล้าทำไปอย่างไร
ที่สำคัญคือ การกระทำดังกล่าวกระทบกระเทือนจิตใจประชาชน สื่อรายงานการกินหัวคิวเต็มไปหมด โดยเฉพาะรูปปั้นรัชกาลที่ 5 สื่อยังระบุว่ามีการทุจริตกันสูงถึง 12 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น ประธานนปช.ยังแนะไปยังรัฐบาลด้วยว่า หากจะปฏิรูปประเทศและสร้างความปรองดองต้องใช้ชาติเป็นตัวตั้ง หากเอาความคิดบุคคลเป็นตัวตั้ง ปัญหาชาติบ้านเมืองก็แก้ไขไม่ได้ หากเป็นไปได้ควรจะปรับทัศนคติทั้งทหารและประชาชนคือการปรับเข้าหาชาติจึงจะแก้ปัญหาได้
ในสถานการณ์ปัจจุบันคงต้องยอมรับว่ามีความพยายามจะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการจัดการบางเรื่องให้สะเด็ดน้ำ แต่คงไม่สามารถทำได้ตามอำเภอใจ เพราะข้อเท็จจริงก็คือ เสียงที่ยกมือเชียร์นั้นใช่เป็นคนหมู่มาก มิหนำซ้ำ เมื่อสแกนกันโดยละเอียดแล้วจะพบว่าเสียงเหล่านั้นก็เป็นคนหน้าเดิมที่ไม่ยอมรับคนอีกฝ่ายที่ถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์กับอำนาจรัฐประหารอยู่แล้ว
คงเป็นเหมือนบทความของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่เขียนไว้วันก่อนเรื่องอนุรักษนิยมและอำนาจนำ โดยชี้ให้เห็นว่า ผู้นำอนุรักษนิยมไทยได้รับการยกย่องจากนานาชาติว่าเก่งในการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงภายนอก ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดินิยมตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 การคุกคามของคอมมิวนิสต์สากล การสิ้นสุดสงครามเย็นอย่างกะทันหันและโลกาภิวัตน์ของเสรีนิยมใหม่
แต่ลองหันกลับมาดูการปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงภายใน แทบจะพูดได้ว่าประสบความล้มเหลวตลอดมาในทุกครั้ง ก่อให้เกิดความตึงเครียดอย่างรุนแรง ยังไม่พูดถึงความยากลำบากแสนสาหัสแก่ผู้คนจำนวนมากภายในประเทศ พลังในการกุมอำนาจนำของกลุ่มอนุรักษนิยมไทยไม่มั่นคงแข็งแรงเท่ากับการกุมอำนาจควบคุมความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดจากการปรับตัวให้รองรับความเปลี่ยนแปลงภายนอก ทำให้อำนาจนำของอนุรักษนิยมไทยถูกท้าทายตลอดมา ชาตินิยมที่เป็นทางการถูกท้าทายจากข้าราชการระดับกลางที่มีชาตินิยมในอีกสำนวนหนึ่ง จนนำไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 แม้แต่ภายใต้รัฐบาลที่สนับสนุนสหรัฐฯในสงครามเวียดนามอย่างเต็มที่ ก็มีความเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายสหรัฐฯในเวียดนามอย่างเปิดเผยในหมู่นักศึกษาและปัญญาชน
ยิ่งระหว่าง 14 ตุลา 2516 ถึง 6 ตุลา 2519 อำนาจนำของกลุ่มอนุรักษนิยมถูกท้าทายถึงขั้นรากฐานทีเดียว จนคนบางจำพวกในกลุ่มอนุรักษนิยมคิดว่า กำลังจะสูญเสียอำนาจนำไปเป็นการถาวรแล้ว นั่นคือที่มาของการสังหารหมู่ในวันที่ 6 ตุลา 19 และรัฐบาลเผด็จการ ธานินทร์ กรัยวิเชียร มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับรัฐบาลทหารปัจจุบัน
นักศึกษาและปัญญาชนจำนวนมากต้องหลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ บ้างอาศัยเป็นเส้นทางหลบหนีไปต่างประเทศ อีกจำนวนมากถูกจำขังในข้อหามาตรา 112 บ้าง 113 บ้าง 116 บ้าง มีนักศึกษาปัญญาชนอีกมากที่ถูกจับไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร ปิดกั้นเสรีภาพของสื่ออย่างเข้มงวด ปรับหลักสูตรการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมถึงมหาวิทยาลัยด้วยการเสริมวิชาความเป็นไทยเข้าไป
โดยสรุปก็คือใช้อำนาจควบคุมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่อำนาจนำที่สั่นคลอนลงของตนอย่างเต็มที่ สร้างอาชญากรทางความคิดขึ้นมาจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นโยบายใช้อำนาจควบคุมอย่างเคร่งครัดรุนแรงเพื่อปกป้องอำนาจนำจะดำเนินต่อไปหรือไม่ และในรูปใดบ้าง ไม่สามารถมองเห็นเส้นทางในอนาคตได้ แต่แน่ใจว่าย่อมทำให้อำนาจนำยิ่งเสื่อมลงรวดเร็วกว่าที่กลุ่มอนุรักษนิยมคาดไว้เสียอีก ถ้าจับอาการของท่านผู้นำก็น่าจะเห็นรูปรอยดังว่านี้