เงินไหลออก (อีกเพียบ)
ก่อนอื่น “โมนิก้า” ต้องแสดงความยินดีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวด์จากความชัดเจนเรื่องขึ้นดอกเบี้ย เป็นการปลดล็อกความกังวลของนักลงทุน
*ก่อนอื่น “โมนิก้า” ต้องแสดงความยินดีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวด์จากความชัดเจนเรื่องขึ้นดอกเบี้ย เพราะเหมือนเป็นการปลดล็อกความกังวลที่กัดกินความมั่นใจของนักลงทุนเป็นเวลานาน เดี๊ยนจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาในทันที และยิ้มกรุ้มกริ่มที่มุมปากเมื่อเห็นดัชนีไทยวิ่งขึ้นไปถึง 1,607.19 จุด และมีความหวังที่จะได้เห็นดัชนีขึ้นมาตั้งฐานที่มั่นคงบริเวณ 1,600 จุดอีกครั้งไงล่ะคะ
*น่าเสียดายที่ความหวังดังกล่าวต้องมลายหายไปในเวลาอันรวดเร็ว เพราะดัชนีทรุดฮวบลงมาปิดที่ระดับ 1,561.10 บาท ลบไป 32.44 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.77 หมื่นล้านบาท หลังได้เห็นความจริงอันโหดร้ายที่ว่า เฟดยังมีแผนปรับขึ้นดอกเบี้ยในระดับ 0.50-0.75% สำหรับการประชุมอีก 4 ครั้งที่เหลือ ซึ่งพออนุมานได้ว่า คณะกรรมการจะปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบละ 0.50% ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดที่อยู่ในระดับ 1.50% พุ่งขึ้นไปอยู่ในระดับ 3.50% และจะเป็นการสกัดเงินเฟ้ออเมริกาที่อยู่ในระดับ 8.60% ได้อยู่หมัด (กูรูระดับโลกเขาเชื่อเช่นนั้น) นะจะบอกให้
*ตรงนี้แหละที่สร้างปัญหาให้กับนโยบายการเงินของไทยแบบเต็ม ๆ และอาจบีบให้แบงก์ชาติต้องจัดประชุมนัดพิเศษเพื่อขึ้นดอกเบี้ยตามอเมริกา เพราะปัญหาเงินเฟ้อไทยก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หลังตัวเลขล่าสุดของไทยก็อยู่ในระดับ 7.10% “โมนิก้า” จึงเกิดอาการห่อเหี่ยวขึ้นมาในทันที เพราะมันหมายความว่า หากแบงก์ชาติยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เงินทุนก็จะไหลออกไปเรื่อย ๆ และอาจทำให้ค่าเงินอ่อนตัวทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์ก็เป็นไปได้นะคะ
*เหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้ “โมนิก้า” รู้สึกไม่สบายใจอย่างแรง เพราะการขึ้นดอกเบี้ยของไทยในภาวะเศรษฐกิจยอบแยบ มันดูเหมือนเป็นการซ้ำเติมกำลังซื้อของผู้บริโภคให้ลดลงอีก เดี๊ยนถึงมองว่า สถานการณ์ ณ ตอนนี้ มันไม่เป็นใจเลยสักอย่าง! และกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้มองเรื่องต่าง ๆ ได้แค่ระยะสั้น ๆ จนส่งผลให้การขึ้นของหุ้นแต่ละตัวในเที่ยวนี้ออกไปในแนว “ขึ้นแล้วลง” เป็นส่วนใหญ่กระมัง!
*ประเด็นข้างต้นทำให้ “โมนิก้า” นึกถึงหุ้นแบงก์สีเขียวอย่าง KBANK ขึ้นมาในทันที เพราะเมื่อมองกรอบการวิ่งของหุ้นที่อยู่บน 140-150 บาทเป็นส่วนใหญ่ มันทำให้เชื่อว่า ระดับจุดดังกล่าวลงมาปิดที่ 148 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 1.33% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4. 92 พันล้านบาท แต่ความพร้อมของหุ้นที่จะไปหายอด 160 บาท รวมทั้งยังมีลุ้นอานิงสงส์จากการขึ้นดอกเบี้ยเป็นกำลังเสริมอีกด้วย แต่ด้วยสถานการณ์รอบด้านแบบนี้..ไหวเหรอคุณพี่!
*ขนาดพานทองแท้ PTT ยังตกอยู่ในวังวนของแรงขายเป็นเวลากว่า 2 ปี “โมนิก้า” เลยไม่สามารถคิดดีได้เลย! และต้องปล่อยไปตามยถากรรม เนื่องจากขาใหญ่อย่าง “ฝรั่งก็ไม่เล่น กองทุนก็ไม่เอา” เลยไม่รู้ว่า หุ้นจะขึ้นได้อย่างไรในเวลานี้ เดี๊ยนถึงมองการยืนปิดที่ระดับ 34.75 บาท ลบไป 1.25 บาท หรือลงไป 3.47% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.41 พันล้านบาท คือการสะท้อนภาพ พีอี 10 เท่า บุ๊กแวลู 36 บาท และยีลด์ 5% มันไม่ช่วยอะไรเลยนะนายจ๋า!
*ส่วนรายที่กลับสู่ยุคเฟื่องฟูของธุรกิจ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นประกันชีวิตอย่าง BLA แบบไม่เหนียมอาย เพราะตัวเลขกำไรที่โชว์ออกมาให้เห็นไตรมาสแรก มันทำให้เชื่อว่า สถานการณ์ต่อจากนี้จะดีขึ้นไปอีก แถมได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น จึงมีลุ้นขึ้นไปหายอดเดิมแถว 48 บาทอีกครั้ง ผสานกับในช่วงครึ่งเดือนก็บวกสวนภาวะตลาดได้ประจำ จึงทำให้ราคาปิดที่ระดับ 43.75 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 1.69% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 657 ล้านบาท น่าสนใจสุด ๆ เจ้าค่ะ
*เมื่อมาในแนวเล่นสวนตลาดรอบสั้น ๆ “โมนิก้า” คงชี้เป้าไปที่หุ้นขนส่งสีส้มอย่าง KEX เพื่อทำให้เห็นแรงซื้อที่กลับเข้ามาเที่ยวนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นการดันกลับขึ้นมาใกล้ยอดเดิมที่บริเวณ 25 บาท ผนวกกับสองครั้งก่อนไม่สามารถวิ่งทะลุแนวต้านตรงนี้ไปได้ เดี๊ยนจึงอยากให้แฟนคลับประเมินการยืนปิดที่ระดับ 23.70 บาท บวกไป 1.40 บาท หรือขึ้นไป 6.28% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 598 ล้านบาท น่าเล่นจริงไหมเอ่ย?
*ประเด็นข้างต้นทำให้เดี๊ยนอยากถามแฟนคลับว่า DITTO ภายใต้การคอนโทรลเกมราคาหุ้นของ เฮีย.ฮง ยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจจริงไหม? เพราะราคาหุ้นรูดลงตลอดเวลานับตั้งแต่ปลาย เม.ย. (ตอนนั้นทำไฮไว้ที่ 95 บาท) จนลงมาทำโลว์ที่บริเวณ 54.50 บาทในช่วง กลาง พ.ค. ก่อนกระตุกขึ้นไปแถว 74 บาท ต่อจากนั้นก็โรยตัวลงมาเรื่อย ๆ จนวานนี้ยืนปิดที่ 53 บาท ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 4.07% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 122 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 133 เท่า เดี๊ยนมองจากมุมไหนก็ไม่มีทางเชื่อว่า หุ้นจะตีกลับขึ้นไปได้..ยกเว้นพวกลูกหาบของเฮียจะช่วยกันออกแรงอีกยก..อิอิอิ