ALL นอนอินสไปร์.!?

กลายเป็นดราม่าร้อนฉ่าในโลกโซเชียลมีเดีย ว่าด้วยเรื่องโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการมีความล่าช้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย


กลายเป็นดราม่าร้อนฉ่าในโลกโซเชียลมีเดีย ว่าด้วยเรื่องโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการมีความล่าช้า ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย บางโครงการมีแค่โครงสร้างค้างเติ่ง ดูทีท่าแล้วคงไม่เสร็จตามเป้าหมายแหง ๆ หนึ่งในนั้นเป็นโครงการของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั่นคือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL รวมอยู่ด้วย..!!

ก็สอดรับกับราคาหุ้น ALL ในช่วงที่ผ่านมาไหลรูดต่อเนื่อง โดยวานนี้ปรับลดลงอีก 5.98% ปิดตลาดที่ 1.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36.25 ล้านบาท ทำให้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ราคาปรับลดลงแล้วกว่า 60% และต่ำกว่าไอพีโอที่ 4.90 บาท ไปแล้ว 77%

ขณะที่ ผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2565 ก็ไม่สู้ดีนัก มีตัวเลขขาดทุน 77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 71 ล้านบาท

สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 26.11% อยู่ที่ 174 ล้านบาท จากเดิมเคยทำได้ 235 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 143 ล้านบาท ลดลง 5 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 ล้านบาท ลดลง 56 ล้านบาท

ครั้นพอแง้มดูงบการเงิน ก็น่าต๊กกะใจ เพราะ ณ วันที่ 31 มี.ค. 2565 ALL มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดติดกระเป๋าแค่ 56 ล้านบาทเท่านั้น แต่กลับมีส่วนของหนี้สินระยะยาวส่วนที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปีสูงถึง 861 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 2 ก้อน เป็นหนี้สถาบันการเงิน 373 ล้านบาท และหุ้นกู้อีก 295 ล้านบาท

เข้าข่ายสภาพคล่องตึงมือ…หนี้สินบานตะไทนะเนี่ย

อ้อ…ตัวเลขที่ยังดูดี เห็นจะเป็นกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรที่มีกว่า 540 ล้านบาทนี่แหละ…

ที่จริง ALL ก็พยายามปรับโครงสร้างธุรกิจนะ ด้วยการอัพสถานะบริษัทขึ้นเป็น “โฮลดิ้ง คอมพานี” แล้วประกาศรุก 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ธุรกิจบริหารหนี้สิน และธุรกิจคาร์บอนเครดิต

นั่นแปลว่า ALL กำลังจะทิ้งอสังหาฯ แล้วไปหาโอกาสจากธุรกิจอื่น ๆ อ๊ะป่าว..?

เพราะเท่าที่ฟังคำสัมภาษณ์ของ “ธนากร ธนวริทธิ์” ที่สวมหมวกทั้ง CEO และถือหุ้นใหญ่ ALL ระบุชัด โครงสร้างรายได้ในปี 2565 จะเปลี่ยนไปเป็นธุรกิจบริหารสินทรัพย์ มีสัดส่วน 30% ธุรกิจบริหารหนี้ สัดส่วน 30% ธุรกิจคาร์บอนเครดิต สัดส่วน 30% ส่วนธุรกิจอสังหาฯ จะเหลือแค่ 10%

แต่ไม่จบแค่นั้น เพราะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นด้วยน่ะสิ โดยมี “อัยลดา ชินวัฒน์” เข้ามาซื้อบิ๊กล็อต จำนวน 200 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 13.84% ที่ราคาเฉลี่ย 1.00 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้ “อัยลดา” ฟาสแทร็กขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นเบอร์ 2 ของ ALL ทันที..!! ส่วนคนขายก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เป็น “ธนากร” นั่นแหละ

โอเค…แม้ “ธนากร” ยังเหลือถือหุ้น ALL สัดส่วน 31.16% แต่การที่หุ้นใหญ่ขายหุ้นออกมาอย่างนี้ ไม่พ้นถูกข้อครหาว่าถ้าธุรกิจดีจริงทำไมต้องขาย..?

แถมเท่าที่เห็นโปรไฟล์ของ “อัยลดา” ไม่ได้เป็นนักธุรกิจ เป็นแค่นักลงทุน เคยถือหุ้นหลาย ๆ ตัว เช่น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE, บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD และบริษัท เฮลท์ เอ็มไพร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ HEMP เป็นต้น

ก็ถูกตั้งคำถามว่า “อัยลดา” จะมาช่วยปลุกปั้นต่อยอด ALL ยังไง..? อันนี้น่าคิด…

โดยเฉพาะกับเป้าหมายจะผลักดันมาร์เก็ตแคปให้แตะ 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี…ก็ไม่รู้จะเป็นแค่ฝันกลางวันหรือเปล่า..?

เพราะถ้าดูจากสถานการณ์หุ้น ALL ตอนนี้ น่าจะนอนอินสไปร์ไปแล้วมั้ง..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button