พาราสาวะถี
ได้หัวเราะกันทั้งน้ำตาเมื่อกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เชิญชวนคนไทยลดการใช้พลังงานด้วยการหันมาใช้ “เตามหาเศรษฐี”
ได้หัวเราะกันทั้งน้ำตากับแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันและพลังงานอื่น ๆ ขึ้นราคาแบบต่อเนื่อง เมื่อกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เชิญชวนคนไทยลดการใช้พลังงานด้วยการหันมาใช้ “เตามหาเศรษฐี” ซึ่งความจริงมันก็คือเตาอั้งโล่ที่แปรสภาพปรับโน่นนิดเพิ่มนี่หน่อย เพื่อให้ดูดีแล้วมาขยายผลว่าช่วยประหยัดถ่าน ประหยัดฟืนและประหยัดแก๊สได้หลายร้อยบาทต่อเดือน สมแล้วที่เป็นหน่วยงานยุคถอยหลังลงคลองภายใต้การบัญชาการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ
นึกไม่ออกว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบาย ในเมื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจย้ำกับประชาชนอยู่ตลอดเวลาจะยกระดับคุณภาพชีวิตทำให้ทุกคนมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่สิ่งที่หน่วยงานของกระทรวงซึ่งดูแลด้านพลังงานของประเทศ มีงบประมาณมหาศาล มันชวนให้เกิดความสังเวชใจ สิ่งสำคัญคือ ย้อนแย้ง สวนทางกับบริษัทพลังงานที่เป็นแหล่งทุนสำคัญของรัฐบาลกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ผ่านมาให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานรูปแบบใหม่
แปลกใจเหมือนกันการเชิญชวนเช่นนี้มันทำให้ย้อนนึกไปถึงการนำเสนอโครงงานอะไรซักอย่างที่น่าจะคิดและทำกันไปเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ถือเป็นชิ้นงานระดับประถมหรืออนุบาล แต่กับโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างมันพลวัตไปจนถึงไหนต่อไหนแล้ว กลับยังมีความคิดและนำเสนอแนวทางกันได้แค่นี้ ถ้าเป็นภาษาโบราณก็ต้องบอกว่าเลี้ยงไว้เปลืองข้าวสุก คิดอะไรไม่ออก หรือไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ก็ไม่ควรเสนอให้สังคมรับรู้ก็ได้ ไม่ใช่กระแดะ ดัดจริตว่าไม่อนุรักษ์หรือหันไปใช้วิถีชีวิตแบบเก่า ๆ
แต่บางอย่างเมื่อมันมีความเปลี่ยนแปลงไปไกลแล้ว คนที่ใช้เตาอั้งโล่แบบเดิม ๆ ก็ยังมีอยู่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดและดีเสียด้วยซ้ำถ้าทำได้ ขณะที่ในบางจุด บางที่ หรือการใช้ชีวิตของบางคน บางครอบครัวไม่ได้มีเวลาที่จะมาใช้งานเหมือนที่หน่วยงานรัฐแนะนำ เพราะแบบนี้นี่ไงที่ทำให้หลายคนรู้สึกสงสัยว่าทำไมฝ่ายค้านถึงไม่ใส่ชื่อ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปในรายชื่อผู้ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ถ้าเทียบระหว่างงบประมาณที่มีกับผลงานการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแล้ว ต้องยอมรับกันว่าไร้ประสิทธิภาพอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเหตุนี้ อัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ จึงออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายค้านเปลี่ยนรายชื่อรัฐมนตรีโดยถอด สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีแรงงานออกแล้วซักฟอกสุพัฒนพงษ์แทน จนถูกพรรคสืบทอดอำนาจกล่าวหาว่าไร้มารยาททางการเมือง ทั้งที่ความจริงแล้ว ในมุมของ ส.ส.พรรคเก่าแก่ก็มีสิ่งที่ชวนให้คิดได้อยู่เหมือนกัน เช่นที่มีการตั้งคำถาม มีการเรียกร้องให้ลดค่าการกลั่นน้ำมัน แต่สุพัฒนพงษ์บอกว่าไม่สามารถทำได้ แล้วทำไมวันนี้จึงทำได้ แบบนี้ถือเป็นการบริหารงานบกพร่องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายค้านยืนยันแล้วว่ารัฐมนตรีพลังงานเป็นแค่พวกขาลอย เรื่องของพลังงานจึงพุ่งเป้าไปที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นด้านหลัก พร้อมเชื่อว่ามีข้อมูลเด็ดมากพอที่จะประจานให้ประชาชนได้เห็นในประเด็นนี้ เมื่ออัครเดชก็มั่นใจว่ามีข้อมูลมากพอที่สามารถชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของสุพัฒนพงษ์ได้อย่างชัดเจน และสามารถน็อคกลางสภาได้ แทนที่จะไปขอฝ่ายค้านร่วมซักฟอกก็ส่งข้อมูลให้ฝ่ายค้านไปเลยดีไหม พรรคเก่าแก่จะไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าเสียมารยาทมากไปกว่านี้
หากชุดข้อมูลเป็นสิ่งที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนเหมือนกัน ไม่จำเป็นที่จะต้องขีดเส้นไว้ว่าเจ้าของข้อมูลเท่านั้นที่จะต้องอภิปราย ถ้าไม่ใช่การเล่นเกมการเมืองก็สามารถที่จะร่วมมือกันกับพรรคฝ่ายค้านเพื่อที่จะช่วยกันลากไส้ ประจานความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารงานของรัฐมนตรีรายนั้น ๆ ได้ ปลายทางหากประสบความสำเร็จในการทำให้ผู้ที่มีความผิดพลาดต้องแสดงความรับผิดชอบ หรือถูกลงโทษจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ย่อมถือว่าเป็นผลงานร่วมกัน และฝ่ายค้านก็น่าจะยกเครดิตให้กับเจ้าของข้อมูลด้วย
ส่วนปมปัญหาญัตติซักฟอกที่ฝ่ายค้านถูกร้องว่าเป็นญัตติเถื่อนนั้น เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริง ในเมื่อสิ่งที่เป็นข้อกล่าวหาว่ามีการแก้ไข ถอดชื่อ เพิ่มชื่อ เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการยื่นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรยังหามุมที่จะเอาผิดหรือทำให้ญัตติมีปัญหาจนไม่สามารถนำไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อย่างไร ขณะเดียวกัน เมื่อประธานสภาฯรับเรื่องไปพิจารณาแล้วก็มีขั้นตอนการตรวจสอบ เหมือนที่มีการส่งเรื่องให้ฝ่ายค้านยืนยันความถูกต้องในรายชื่อของผู้ยื่นญัตติทั้งหมด
ทุกอย่างอยู่ในกระบวนการ แม้แต่ระหว่างนี้ที่ประธานสภายังไม่ได้บรรจุญัตติเข้าสู่วาระการประชุม ฝ่ายค้านก็สามารถแก้ไขได้ตลอด ทั้งเนื้อหาสาระ และการเพิ่มคนที่จะอภิปราย ซึ่งอยู่ที่ว่าสมาชิกของพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่ละพรรคเห็นพ้องต้องกันก็สามารถแก้ไขได้ อย่างที่บอกว่าการขยับของรัฐมนตรีผู้ยื่นร้องเป็นเพียงแค่แทคติกทางการเมือง เพราะรู้อย่างนี้เราจึงได้ยินคำตอบจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพร้อมที่จะถูกซักฟอกแล้วไม่ว่าฝ่ายค้านจะใช้เวลา 4 หรือ 5 วันก็ตาม
เมื่อผู้นำรัฐบาลพร้อม รัฐมนตรีที่เหลือก็ไม่น่ามีปัญหา ทีนี้ก็อยู่ที่การจัดทัพรับมือของพรรคแกนนำรัฐบาล ซึ่งจากการตั้งทีมปราบมารที่เผย 11 รายชื่อออกมาแล้ว มันก็ทำให้เกิดข้อกังขาของบรรดา ส.ส.ผู้ที่มีอาวุโสภายในพรรคอยู่เหมือนกัน เนื่องจากการทำหน้าที่ดังว่าเหมือนเป็นการแสดงตัว โชว์ฝีปากให้เข้าตาผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ซึ่งจะว่าไป การที่ฝ่ายค้านยื่นซักฟอกเพื่อหวังผลต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้คิดว่าจะน็อคกันคาเวทีสภา ใครที่จะมาเป็นองครักษ์ก็ไม่น่าเกิดมรรคผลเท่าไหร่
เลือกตั้งครั้งต่อไปยังไม่รู้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะอยู่กับพรรคแกนนำรัฐบาลอีกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นรายชื่อ 11 คนทีมปราบมารแล้วก็พอเข้าใจได้ว่า เป็นการวางตัวเพื่อให้ทั้งหมดได้แสดงผลงานเป็นที่ตราตรึง หวังผลสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่เช่นกัน ขณะที่เมื่อมองไปยังตัวเลขของ ส.ส.ในสภาเวลานี้ที่มี 475 เสียง เป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน 194 เสียง ตัดเอาเสียงกลุ่ม 16 และพรรคเศรษฐกิจไทยออกไป ก็ยังเหลือมากพอ ยังไม่นับรวมพวกฝากเลี้ยง พวกกินกล้วย และพวกปันใจที่รอวันเปลี่ยนสีเสื้ออีก ยังไงเก้าอี้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกับคนที่ถูกซักฟอกก็ไม่สะเทือน เพียงแต่ว่าก็ต้องดูแลกันให้อิ่มหนำสำราญเป็นที่พอใจเท่านั้นเอง