หุ้น กับ ศิลานักปราชญ์

ตลาดหุ้นไทยกำลังแกว่งไกวไหวเอนไปกับจิตวิทยาการลงทุนของบรรดา “คุณตลาด” ทั้งหลายแหล่ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ควบคุมได้ยากของสถานการณ์ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยขาขึ้น และ ภาวะ stagflation ชั่วคราวที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย


ตลาดหุ้นไทยกำลังแกว่งไกวไหวเอนไปกับจิตวิทยาการลงทุนของบรรดา “คุณตลาด” ทั้งหลายแหล่ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ควบคุมได้ยากของสถานการณ์ราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยขาขึ้น และ ภาวะ stagflation ชั่วคราวที่เกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย

ในสถานการณ์เหล่านี้ การเคลื่อนไหวของตลาดและราคาหุ้น จึงค่อนข้างสับสนและซับซ้อนจนกระทั่งลงทุนผิดพลาดไปตาม ๆ กัน

บนความไม่แน่นอนเหล่านี้ ทำให้การเก็งกำไรมีลักษณะสุ่มเสี่ยงในระยะสั้น ๆ ไปได้ เปรียบได้ดังการเล่นแร่แปรธาตุในยุคกลางตอนแรกของยุโรปที่มีการค้นหาความเร้นลับของศิลานักปราชญ์ที่เชื่อกันว่าทำให้สารหรือวัตถุที่เป็นโลหะสามารถแปรสภาพเป็นทองคำได้

ความเชื่อดังกล่าวทำให้เกิดเรื่องบานปลายไปมากขึ้นจากการที่เชื่อกันต่อ ๆ มาว่าคนบางคนที่มีโอกาสครอบครองศิลานักปราชญ์หรือหินของนักปราชญ์อาจต้องทำข้อตกลงกับปีศาจที่นำความมั่งคั่งรวดเร็วทางลัดจากการขายวิญญาณของตนให้กับปีศาจ เรื่องราวเหล่านี้กลายมาเป็นนิทานตำนานในหลายสังคมขึ้นมา

เรื่องคำนิยามของสสารที่เรียกกันว่า ศิลานักปราชญ์หรือที่ในนิยายพ่อมดของเจ เค โรว์ลิ่ง เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ว่า (ศิลาอาถรรพ์) ทั้งที่ไม่เคยมีใครรู้ชัดเจนว่ามันคืออะไร

คำว่า ศิลานักปราชญ์ (หรือ philosopher’s stone) เป็นนิยามที่ใช้กันมากในยุโรปยุคกลางที่เกิดจากนักคิดในศาสตร์ที่เรียกว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุหรือความรู้ก่อนวิทยาศาสตร์ (เรียกว่าเป็นวิชารสายนเวท (alchemy) เป็นแบบแผนของการเล่นแร่แปรธาตุซึ่งรวมเอาเป้าหมายต่อไปนี้ คือ เปลี่ยนโลหะพื้นฐานเช่นเหล็กหรือ ทองแดง ให้กลายเป็นโลหะมีค่าหรือทองคำ การพัฒนาตัวยาอายุวัฒนะที่ทำให้อายุยืนยาว

นักวิทยาศาสตร์ในยุคเก่าอย่างไอแซก นิวตัน หรือไลบ์นิซ ล้วนเคยเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหล่านี้ โดยมุ่งครอบครองศิลานักปราชญ์ซึ่งเป็นสารอย่างหนึ่งที่มีคุณสมบัติดีกว่าสารปรอท หรืออื่นใดในการแปลงโลหะธรรมดาให้เป็นทองคำ

ความที่มีคนระดับปัญญาชนของยุคสมัยเชื่อว่าศิลานักปราชญ์ เป็นสสารสำคัญสามารถเปลี่ยนโลหะฐาน ให้เป็นทองคำ หรือมีสรรพคุณเสมือนเป็นน้ำอมฤตที่คืนสู่วัยหนุ่มสาว และบรรลุความเป็นอมตะ ทำให้ ศิลานักปราชญ์ถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุตะวันตก และ เป็นสัญลักษณ์ใจกลางของการเล่นแร่แปรธาตุ  ยังผลให้ความพยายามแสวงหาศิลานักปราชญ์ กลายเป็นเรื่องสำคัญของภารกิจที่เรียกว่าเป็น มหากิจ ทีเดียว

นักบวชคาทอลิกเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษ ที่ 6 ได้เขียนความสำคัญของศิลานักปราชญ์เอาไว้ว่า เขาต้องละเลยการอ้อนวอนพระเจ้า เพื่อทำข้อตกลงกับปีศาจเพื่อให้ได้รับตำแหน่งของนักบวช อีกทั้งเรื่องราวของท่านยังเป็นเรื่องที่เก่าแก่ที่สุดของการทำสัญญากับปีศาจ  โดยได้ติดต่อกับซาตาน เพื่อทำสัญญาที่ลงนามด้วยเลือดของตนเอง โดยแลกกับการแลกกับตำแหน่ง บิชอป

ปีต่อมา เขาได้สำนึกผิดและได้อธิษฐานต่อพระแม่มารีเพื่อขอให้อภัย หลังจากที่ 40 วันของการอดอาหาร พระแม่มารีก็ได้ปรากฏตัวและสัญญาว่าจะไกล่เกลี่ยกับพระเจ้าให้ หากเขายอมอดอาหารต่อไปอีก 30 วันพระแม่มารีก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้งและเขาก็ได้รับการอภัยโทษ และปลดปล่อยจากภาระข้อสัญญา

เรื่องราวที่โด่งดังสุดของยุคกลางเกิดขึ้นเมื่อ โจฮัน เกออร์ก เฟาสต์ แห่งยุคยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (หรือยุคเรอเนสซองซ์) ในขณะที่เขาคราคูฟ (Krakow) ได้เข้าทำสัญญาผูกพันเฟาสต์กับปีศาจ จนทำให้เขาถูกประณามจากคริสตจักรว่าเขาดูหมิ่นศาสนา กลายเป็นตำนานที่ได้รับความนิยมในเรื่อง เฟาสต์ (Faust) เพื่อทำให้เขากลับมาหนุ่ม 24 ปีอีกครั้ง หากแต่น่าเสียดายต่อมาเขาก็ไม่รู้สึกพอใจชีวิตที่เป็น

เรื่องราวของศิลานักปราชญ์ที่ปนเปื้อนกับการทำข้อตกลงกับปีศาจจึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันที่แยกไม่ออก ทั้งที่ความชัดเจนของสสารที่เรียกชื่อดังกล่าวยังไม่เคยเกิดขึ้นเพราะมีคำบรรยายลักษณะของศิลานักปราชญ์นั้นมีมากหลากหลาย ตามตำรา ว่าวิธีการเกือบเหมือนกัน คือ สีขาว (สำหรับทำเงิน) และสีแดง (สำหรับทำทอง) ศิลาสีขาวเป็นรุ่นที่เสร็จสมบูรณ์น้อยกว่าศิลาสีแดง ตำราได้ให้คำใบ้ถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพที่ควรเป็นของศิลานักปราชญ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลาสีแดง ศิลานักปราชญ์มักกล่าวขานกันบ่อยครั้งว่า เชื่อกันว่าศิลานักปราชญ์นั้นหนักกว่าทอง และเชื่อกันว่าละลายได้ในของเหลวทุกชนิด แต่ไม่ติดไฟ

ความไม่ชัดเจนกลายเป็นเสน่ห์ที่ผิดหลักการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เรื่องราวของศิลานักปราชญ์และการทำข้อตกลงกับปีศาจ ถูกลดทอนลงไปแค่เป็นคำเปรียบเปรยทางภาษาเท่านั้น

ในตลาดหุ้นปัจจุบันความเชื่อถือในเรื่องศิลานักปราชญ์และการทำข้อตกลงกับปีศาจ ไม่ใช่กฎ ที่ตายตัว และไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือแต่อย่างใด

แล้วบรรดาพ่อมดการเงิน ก็ไม่มีมนต์วิเศษแต่อย่างใดเลย

Back to top button