SELIC เติมปลายน้ำ.!
แรก ๆ คิดว่าแค่เห็นชื่อ “วิฑูรย์ ว่องกุศลกิจ” จะเข้ามาถือหุ้นบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC สัดส่วน 15.10% จากการได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP จำนวน 89.28 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.80 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ก็ทำให้หุ้น SELIC วิ่งชนซิลลิ่ง 2 วันซ้อน...
แรก ๆ คิดว่าแค่เห็นชื่อ “วิฑูรย์ ว่องกุศลกิจ” จะเข้ามาถือหุ้นบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC สัดส่วน 15.10% จากการได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง หรือ PP จำนวน 89.28 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.80 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 250 ล้านบาท ก็ทำให้หุ้น SELIC วิ่งชนซิลลิ่ง 2 วันซ้อน…
จากก่อนหน้าเคยซื้อขายกันที่ 2 บาทเศษ กะพริบตาทีเดียวพุ่งพรวดทะลุ 4 บาทไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้ว…
แต่เอ๊ะ…ไม่ใช่แค่ชื่อ “วิฑูรย์” เท่านั้นนะ ที่ทำให้ราคาหุ้น SELIC ฮอตปรอทแตก เพราะมันมีการเปลี่ยนแปลงเชิงปัจจัย พื้นฐานด้วยน่ะสิ…
จากกรณีมติบอร์ดเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 ไฟเขียวให้ SELIC เข้าลงทุนในโครงการ Ruby ซึ่งประกอบด้วยสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายเวชภัณฑ์ เช่น พลาสเตอร์ปิดแผล พลาสเตอร์ยา พลาสเตอร์บรรเทาปวด ผ้าพันกล้ามเนื้อ เจลลดความร้อน แผ่นแอลกอฮอล์ เป็นต้น ภายใต้เครื่องหมายการค้า/ชื่อการค้า Neoplast™, Neobun™, Neotape, Mentopas™ พร้อมที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ Ruby
โดยเป็นการซื้อจากบริษัท 3 เอ็ม ประเทศไทย จำกัด และบริษัท นีโอเร็กซ์ กรุ๊ป จำกัด รวมมูลค่า 550 ล้านบาท…
สิ่งที่น่าสนใจ…หลายคนรู้จัก SELIC ในฐานะเป็นหุ้นกาว เนื่องจากเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย รวมทั้งวิจัยและพัฒนากาวอุตสาหกรรมที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมายาวนานกว่า 40 ปี (ธุรกิจก่อตั้งตั้งแต่ปี 2524)
SELIC จึงอยู่ในหมวดต้นน้ำ มีฐานลูกค้าแบบ B2B ที่เหนียวแน่น..!?
ดังนั้น การเข้าไปลงทุนในโครงการ Ruby หรือธุรกิจเวชภัณฑ์ครั้งนี้ ถือเป็นการเติบโตปลายน้ำ มุ่งไปสู่ธุรกิจที่เป็นไฮแวลูมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ก็สามารถ Synergy ธุรกิจร่วมกันได้ เพราะกาวเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการผลิตพลาสเตอร์ ผ้าพันกล้ามเนื้อ แผ่นแอลกอฮอล์ ฯลฯ อยู่แล้ว
ส่วนแบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าที่ได้มานั้น ก็ไม่ใช่ไก่กา แต่เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักของกลุ่มลูกค้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Neoplast™, Neobun™, Neotape, Mentopas™ ทำให้ไม่ต้องไปเริ่มนับหนึ่งให้เสียเวลา…
และที่สำคัญ ธุรกิจเฮลท์แคร์และเวชภัณฑ์เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโต…ก็น่าจะมาช่วยหนุนการเติบโตของ SELIC ได้ไม่มากก็น้อย…หลังจากไตรมาสแรกปีนี้พลาดท่าทำกำไรสุทธิหล่นหายไป 61% เหลือแค่ 11.72 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเคยทำได้ 30.05 ล้านบาท
เข้าใจว่านี่คงเป็นแค่จุดเริ่มต้นของ SELIC ในการรุกเข้าสู่ธุรกิจเฮลท์แคร์และเวชภัณฑ์ หลังจากนี้คงเห็นการปิดดีลตามมาอีก เพราะผู้บริหารก็ระบุชัด จะมองหาโอกาสทั้งการร่วมทุนและซื้อกิจการ เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
โอเค…ในเรื่องของผลประกอบการจะเติบโตก้าวกระโดดอย่างที่ฝันหรือเปล่า..? เป็นช็อตที่ต้องติดตามกันต่อไป
แต่ฝันที่เป็นจริงแล้ว เห็นจะเป็นราคาหุ้น SELIC ที่สามารถยืนเหนือราคาไอพีโอ 2.90 บาท ได้สักที หลังจากปล่อยให้นักลงทุนชะเง้อรอมานานหลายปี..!!
ส่วนจะยืนระยะได้นานแค่ไหน…ก็อีกเรื่องนะ
แต่เห็นราคาหุ้นวานนี้ (4 ก.ค.) ที่ปรับลดลง 11.02% มาปิดตลาดที่ 4.20 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 404.83 ล้านบาท มันเสียวแปล๊บ..!?
…อิ อิ อิ…