พาราสาวะถี

ไม่มีใครเถียงหมอการเมืองที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เรื่องแนวทางที่เน้นย้ำตลอดเวลาว่า คนไทยต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 เหมือนอย่างโรคอื่น ๆ ให้ได้


ไม่มีใครเถียงหมอการเมืองที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เรื่องแนวทางที่เน้นย้ำตลอดเวลาว่า คนไทยต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 เหมือนอย่างโรคอื่น ๆ ให้ได้ พร้อมกับยืนยันระบบสาธารณสุขเอาอยู่ แม้โควิดสายพันธุ์ BA.4-BA.5 จะเข้ามายึดครองพื้นที่การระบาด ด้วยคาถา 3 พอคือ หมอพอ เตียงพอ ยาและเวชภัณฑ์พอ แต่คำถามก็คือ แม้เชื้อไม่ก่อความรุนแรง แต่แพร่เร็วและติดง่าย รัฐควรต้องปรับมาตรการต่าง ๆ ให้กลับมากระชับมากขึ้นหรือไม่

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ตัวเลขของผู้ติดเชื้อในประเทศกลับมาเพิ่มอีกครั้งกรณีของสายพันธ์ BA.4-BA.5 มีส่วนสำคัญ แต่ต้องอย่าลืมว่าเหตุที่ทำให้เชื้อดังกล่าวเข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะมีการเปิดประเทศ เชื้อสายพันธุ์นี้จึงมาจากการนำเข้าโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ และคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ หากมีมาตรการตรวจคัดกรองเหมือนก่อนหน้าก็คงจะเบาใจได้ แต่เมื่อยกเลิกไปโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อย่อมมากขึ้น

ประเด็นการกระชับมาตรการนั้น มีข้อเสนอมาจาก นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่ระบุว่า วันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยน อยากให้ผู้ใหญ่ในประเทศส่งสัญญาณ เพราะขณะนี้มีการติดเชื้อเพิ่ม จึงเสนอให้รัฐบาลต้องกลับมากระชับมาตรการป้องกันให้มากขึ้น โดยเฉพาะการออกข้อบังคับให้สวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่ปิด ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ เป็นมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขคงจะต้องเสนอ ศบค.พิจารณา

อย่าลืมว่าสิ่งที่ทำเอาผู้คนในโลกโซเซียลตื่นตระหนกกันไปเมื่อช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ผ่านมา คือ การเปิดเผยข้อมูลของชมรมแพทย์ชนบทต่อหนังสือด่วนที่สุดของ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิตร ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ส่งไปถึงผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขทุกเขตให้เตรียมพร้อมรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ดังนั้น มาตรการรับมือเป็นสิ่งที่ต้องรีบทำ ตามที่หมอประสิทธิ์ย้ำว่า อย่ารอจนเตียงไม่พอจะไม่ทันต่อสถานการณ์

สิ่งที่ต้องยอมรับในมุมของคนที่เป็นหมออาชีพก็คือ ประเมินสถานการณ์เวลานี้อาจจะไม่รุนแรงเหมือนช่วงการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า ปัจจัยมาจากคนฉีดวัคซีนไปค่อนข้างมาก และตัวเชื้อไม่ได้รุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น แต่เชื้อตัวนี้แพร่ระบาดเร็วมาก หากแพร่เร็วจนเพิ่มจำนวนมากก็เสี่ยงที่จะเกิดการกลายพันธุ์ได้ ที่น่าห่วงคือ กลุ่มเสี่ยงที่อาจจะได้รับเชื้อจากคนที่ไม่แสดงอาการ จึงต้องย้ำถึงการฉีดวัคซีนให้ครบ แม้ไม่ได้ป้องกันติดเชื้อแต่ยังป้องกันความรุนแรงของโรคได้

คอยดูการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานวันศุกร์นี้ว่า จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ แต่คงคาดหวังอะไรได้ไม่มาก เหมือนกับการที่ท่านผู้นำเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเต็มคณะเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ที่มีกระทรวงด้านความมั่นคง และกระทรวงด้านเศรษฐกิจ เข้าร่วมประชุมคับคั่ง เพื่อพิจารณาแผนรองรับวิกฤตพลังงานและอาหาร โดยที่ทุกฝ่ายคิดว่าน่าจะมีมาตรการอะไรออกมาให้เป็นที่พึ่งพิงได้บ้าง

ปรากฏว่าไม่มีมาตรการอะไรที่ชัดเจน นอกจากการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 คณะ โดยผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ และ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั่งเป็นประธานคนละคณะ แต่ใครที่ติดตามการทำงานของท่านผู้นำมาโดยตลอดก็จะทราบดีว่า คิดอะไรไม่ออกก็จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อซื้อเวลา ไม่สนใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน

จนกระทั่งมีหลายคนค่อนขอดว่าหมดปัญญาที่จะแก้ปัญหาน้ำมันแพง แก๊สแพง และข้าวของอื่น ๆ แพง จึงใช้คณะกรรมการขึ้นมาขัดตาทัพ ปัดสวะเฉพาะหน้าไปก่อน  การทำงานในลักษณะนี้เป็นไปตามที่ กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ชี้ว่า การตั้งกรรมการมีคนนั่งล้อมวงตามวัฒนธรรมการทำงานราชการไทย ไม่มีใครกล้าพูดหรือเสนออะไร คนที่นั่งหัวโต๊ะว่าอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น ซึ่งมันไม่ได้นำไปสู่การมีข้อสรุปหรือนโยบายใด ๆ ที่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้กับประชาชนได้

ทุกคนเห็นตรงกันว่า ประชาชนเดือดร้อน น้ำมันแพง ของแพง มันเป็นภาระกับประชาชนโดยตรง มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยการตั้งคณะกรรมการชุดแล้วชุดเล่า จริง ๆ การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยาก มันมีมาตรการและทางออกที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่มีคนในวงการทำให้ดูสลับซับซ้อนเพื่อที่สุดท้ายจะทำให้ไม่มีคำตอบ ไม่ต่างจากกรณีเรื่องโรงกลั่นน้ำมัน ที่มีการประกาศให้โรงกลั่นบริจาคเงินเข้ากองทุนน้ำมันเดือนละ 8,000 ล้านบาทเป็นเวลา 3 เดือน จนถึงวันนี้เงียบ ไม่รู้ว่าได้ดำเนินการไปแค่ไหนอย่างไร

บอกไว้แล้วว่ารัฐราชการรวมศูนย์ การรวบอำนาจทุกอย่างไว้กับตัว ประมาณว่าประเทศนี้มีแต่ข้าเท่านั้นที่ดีและเก่งแต่เพียงผู้เดียว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ยิ่งการมาสวมหัวโขนเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจในรัฐบาล แทนที่จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ยกระดับคุณภาพชีวิต กลับกลายเป็นตรงข้าม นับวันมีแต่จะจนลง โดยที่ผู้นำเอาแต่โทษโรคระบาด สถานการณ์ในต่างประเทศที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งที่จังหวะนี้คือโอกาสอันดีที่จะแสดงออกถึงสติปัญญา และความสามารถในการบริหารวิกฤต

ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าล้มเหลวต่อการรับมือวิกฤตและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ก็ยังมีคนที่จะผลักดันให้อยู่กันยาว ๆ จนลุกลามไปถึงสูตรการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่กำลังแก้กฎหมายกันอยู่จะหาร 100 หรือ 500 ดี ล่าสุด สมชัย ศรีสุทธิยากร ฟันธงแล้วว่าเหตุที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและลิ่วล้อปอดแหกต่อสูตรหาร 100 เพราะเมื่อยกเอาผลเลือกตั้งเมื่อปี 2554 มาคำนวณแล้ว โดยไม่ใช้ของปี 2562 เนื่องจากมีการใช้บัตรใบเดียว และเพื่อไทยส่งผู้สมัครเพียง 238 จาก 350 เขต พบว่าเพื่อไทยได้ ส.ส. 265 จาก 500 ที่นั่ง คิดเป็นร้อยละ 53 ขืนให้ใช้สูตรหาร 100 ก็จบเห่กันทั้งบาง ดังนั้น จึงทำทุกทางต้องดันทุรังให้หาร 500 ให้ได้

Back to top button