พาราสาวะถี
ประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันศุกร์ที่ผ่านมา ไม่ได้มีมติอะไรที่ออกมาให้ต้องจับตากันเป็นพิเศษ ไฮไลท์สำคัญคงอยู่ที่การให้ยืดอายุการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันศุกร์ที่ผ่านมา ไม่ได้มีมติอะไรที่ออกมาให้ต้องจับตากันเป็นพิเศษ ไฮไลท์สำคัญคงอยู่ที่การให้ยืดอายุการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 2 เดือน แน่นอนว่า ตามสูตรก็จะอ้างเพื่อใช้ควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทั้งที่ไม่ได้มีมาตรการควบคุมอะไรเพิ่มเติม มิหนำซ้ำ ยังผ่อนคลายจนเกือบปกติทุกอย่าง แม้จะพบว่ามีการระบาดมากขึ้นในสถานศึกษาก็ตาม จึงมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเพื่อป้องกันแรงกระเพื่อมทางการเมืองที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นหลัก
ส่วนประเด็นเรื่องของสภาห้าร้อย ที่เคาะสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วยการหาร 500 ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็อ้างว่าเพื่อการทำงานให้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับฝ่ายบริหารตรงไหน แล้วที่ผ่านมาบอกว่าไม่ยุ่งกับงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะ ส.ว.ลากตั้งมันหมายความว่าอย่างไร กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน มันไม่เกี่ยวว่าจะหาร 100 หรือ 500 แล้วทำให้ทำงานยากง่าย แต่มันเป็นเรื่องของการทำให้ขบวนการสืบทอดอำนาจได้อยู่ยาวตามที่ตัวเองขีดเส้น เขียนกฎหมายไว้รองรับตั้งแต่ต้นต่างหาก
อย่างที่หลายคนได้แสดงความเห็นไว้ การเปลี่ยนจากระบบคู่ขนาน ที่หาร 100 มาเป็นระบบสัดส่วนผสมที่หาร 500 จะมีปัญหาในการคำนวณอย่างแน่นอน ล่าสุด ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล มองว่า การใช้สูตรหาร 500 เป็นการใช้แบบครึ่งบกครึ่งน้ำ ดังนั้น จึงชัดเจนว่าเป็นการทำทุกวิถีทาง ให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ นอกจากนี้ การหาร 500 น่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเป็นการวางกับดักทางการเมืองไว้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคร่วมฝ่ายค้านกังวล
ประเด็นกับดักทางการเมืองนี้น่าสนใจ ชัยธวัชชี้ว่า ระบบที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ นี้ หากนำมาใช้แล้วมีปัญหา จะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย ยังไม่นับว่าระหว่างทาง ชะตากรรมของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กำลังพิจารณากันอยู่นั้นจะเป็นอย่างไร จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง หรือทำให้การเลือกตั้งล่าช้าหรือไม่ ทั้งยังทำให้การยุบสภามีปัญหา นั่นจึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายค้านกังวลว่า การถกเถียงเรื่องระบบเลือกตั้ง “สุดท้ายจะเป็นหมากให้เดินไปสู่อย่างอื่นหรือไม่”
หมากอย่างอื่นที่ว่าคือ การล้มกระดาน เพราะเป็นความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน และมีเจตนาที่จะยืดเยื้อการพิจารณาร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับออกไปหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยการใช้ช่วงเวลา 2 สัปดาห์ระหว่างนี้มากำหนดเกมกันใหม่ว่าจะเดินกันอย่างไรในฝ่ายของรัฐบาล แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้ประโยชน์คือ คสช. หรือกลุ่มแกนนำที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร ดังนั้น ฝ่ายประชาธิปไตยต้องตั้งหลักว่า จะรวมพลังอย่างไรให้ดีที่สุดเพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาลให้ได้ในอนาคต
แน่นอนว่า ภาพของประชาชนที่รอจะให้บทเรียนหรือสั่งสอนเผด็จการสืบทอดอำนาจ หากมองจากปรากฏการณ์ชัชชาติ รวมถึงแนวโน้มภายใต้สถานการณ์คะแนนนิยมตกต่ำ ย่อมเห็นตรงกันว่าเป็นไปได้สูง แต่การจะเดินไปถึงตรงนั้นที่ต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้งคงไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อมองเห็นกันอยู่แล้วว่ามีการเล่นเกมการเมืองกันอย่างหนักหน่วงถึงขนาดที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงกับส่งสัญญาณด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่า จะต้องมีการดึงเกมกันทุกรูปแบบ
การที่ เสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.ลากตั้ง เคลื่อนไหวแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการใช้สูตรหาร 500 พร้อมคำประกาศ “ผมเป็นเสียงข้างน้อยที่ยึดหลักกฎหมาย แต่อีกฝั่งยึดเรื่องการเมือง” มันก็คือภาพสะท้อนว่ามีการเดินเกมกันแบบไหน การส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเป็นช่องทางที่หนีไม่พ้นอยู่แล้ว ผลที่จะออกมาพอจะคาดเดากันได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นกระบวนการนับจากนี้ สิ่งที่พิจารณากันในสภาจะเป็นอย่างไร เหล่านี้คือตัวบ่งชี้ทิศทางการเมืองได้เป็นอย่างดี
ขณะที่มุมทางวิชาการ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักวิชาการด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง จากภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ชี้ให้เห็นว่า ความพยายามในการที่จะทำให้เรื่องนี้มีปัญหา เป้าหมายอยู่ที่การเมือง เพราะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญดำเนินการไปโดยไม่สอดคล้องกับหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการผูกปมปัญหา ทำให้เกิดสภาวะ “การปะทะกันระหว่างระบบการเลือกตั้ง 2 ระบบ”
เป็นการขัดแย้งกันระหว่างระบบการเลือกตั้งแบบเก่าคือบัตรใบเดียว และระบบการเลือกตั้งแบบใหม่บัตรสองใบ ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากในทางรัฐธรรมนูญว่า บทบัญญัติในเรื่องเดียวกันของรัฐธรรมนูญจะขัดแย้งกันเอง หลังจากนี้ยังคงมีกระบวนการขั้นตอนอีกพอสมควรในการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของสูตรหาร 500 แต่สิ่งที่พรสันต์คาดไว้คงไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ นั่นก็คือ ประชาชนอาจจะต้องเจอกับปัญหาอีกเยอะแยะมากมายสำหรับการเลือกตั้้งระดับชาติครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น
อาการดิ้นของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่นอกจากจะบอกว่าสูตรหาร 500 ทำให้ทำงานง่ายแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมายังได้โพสต์คลิปวิดีโอแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว นำเสนอกลยุทธ์ 3 แกนหลักเพื่อสร้างอนาคต ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ ที่ใหญ่ที่สุด และบูรณาการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย กลยุทธ์การสร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับคนไทย คือแกนที่เกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง
สุดท้ายคือ กลยุทธ์ภาพในการสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงให้กับประเทศ เพื่อที่จะช่วยทุกคนให้สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้อย่างยั่งยืน แทนที่จะได้รับเสียงชื่นชม สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของผู้นำ กลับเป็นเรื่องตรงข้าม สิ่งที่พูดยิ่งทำให้เห็นว่า 8 ปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยได้ผู้นำที่ทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาส ไร้อนาคต อย่างที่ สันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ผู้ที่เคยเป็นคนกันเองว่า ไม่รู้ใครเป็นคนเขียนให้ แต่ตลกตรงที่คนที่พูดไม่มีความรู้ในเรื่องที่แถลงแม้แต่น้อย
เหมือนจะสำนึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองได้ร่วมอยู่ในขบวนการสืบทอดอนาจ สันติจึงฟันธงแบบไม่เกรงใจคนกันเองว่า ถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจใช้เวลาเกือบ 8 ปีนั้นอย่างรู้คุณค่า ใช้อย่างมีสติปัญญา ไม่ได้หลงอยู่ในอำนาจ รู้จักแยกแยะว่าใครดี ใครชั่ว เชื่อว่า 8 ปีนั้นคงเป็นเวลาไม่นาน และเห็นผลงานมากมาย แบบที่ไม่ต้องมีอารมณ์ฉุนเฉียวต่อว่าต่อขาน หรือด่ากราดคนที่แสดงความไม่เห็นด้วย อย่างที่ท่านผู้นำทำบ่อย ๆ สันติบอกอีกว่า วันนี้เวลาของท่านหมดลงแล้วจริง ๆ แต่พวกอย่างหนาก็ยังจะขอเวลาอยู่กันยาว ๆ กันต่อไป