พาราสาวะถีอรชุน
กลายเป็นสองพี่น้องขี้ยัวะแห่งปีทั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยรายหลังเพิ่งจะเอ่ยปากขอโทษขอโพยที่แสดงอาการหลุดจากการถูกถามเรื่องปิดประเทศ ขณะที่พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ออกอาการน็อตหลุดวันวานหลังจากถูกนักข่าวถามเรื่องการตายของหมอหยองผู้ต้องหาคดีมาตรา 112
กลายเป็นสองพี่น้องขี้ยัวะแห่งปีทั้ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยรายหลังเพิ่งจะเอ่ยปากขอโทษขอโพยที่แสดงอาการหลุดจากการถูกถามเรื่องปิดประเทศ ขณะที่พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ออกอาการน็อตหลุดวันวานหลังจากถูกนักข่าวถามเรื่องการตายของหมอหยองผู้ต้องหาคดีมาตรา 112
ความจริงไม่ต้องหงุดหงิดถึงขนาดนั้น ตอบแค่ว่าไม่รู้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกอย่างก็จบ แต่พอไปใส่อารมณ์แทนที่คนจะเชื่อและฟัง กลับคิดไปต่างๆ นานา น่าเห็นใจบิ๊กป้อมอยู่ไม่น้อย ในฐานะที่ดูงานความมั่นคงและคุมกองทัพ เพราะคดีดังกล่าวดันมีนายทหารระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน ในยุคการเมืองที่รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งปกติก็ไม่เป็นไร
แต่ในยุคที่เป็นรัฐบาลจากการยึดอำนาจ รัฐมนตรีครึ่งค่อนคณะเป็นอดีตนายทหาร กลับมีเรื่องมิบังควรเกิดขึ้น นายทหารที่ต้องเคร่งครัดและเข้มงวดกับการกระทำผิดตามมาตรา 112 กลับมากระทำความผิดเสียเอง ทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศศักดิ์ศรีของชายชาติทหารเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้คนที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลโดยตรงจึงอารมณ์บ่จอยเป็นเรื่องธรรมดา
ทว่าการสาดอารมณ์ใส่นักข่าวคงไม่ใช่หนทางในการแก้ไขปัญหา สิ่งที่จะต้องทำให้ประชาชนสบายใจคือ ผู้มีอำนาจต้องแจกแจงให้ละเอียดยิบว่าคนที่ตกเป็นข่าวเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร โดยเฉพาะกรณีการสร้างอุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ งบประมาณที่ใช้ไปจำนวนมหาศาลจะต้องอธิบายถึงความโปร่งใสให้ละเอียดยิบ เพราะคนไทยคงไม่มีใครยอมรับกับพวกที่ใช้เรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้ไปหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง
เช่นเดียวกับกรณีบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ประเทศไทย) เลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศเป็นมูลค่ากว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ที่ผ่านมา 3 รัฐบาลตั้งแต่ยุคขิงแก่จนถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องบริษัทต่างชาติรายนี้ พอมาถึงรัฐบาลคนดี วิษณุ เครืองาม กลับบอกให้รอขอพิจารณาข้อท้วงติงของบริษัทที่อ้างว่า การกระทำของทางการไทยเป็นเรื่องที่ขัดหลักการขององค์การการค้าโลกหรือ WTO
จนทำให้หลายฝ่ายสงสัยในท่วงทำนองดังว่า เพราะก่อนหน้าที่อัยการจะมีความเห็นเช่นนั้น ได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอจนยืนยันได้ว่า ข้ออ้างของบริษัทดังกล่าวฟังไม่ขึ้น ขณะเดียวกันหากย้อนไปดูพฤติกรรมที่ผ่านมา จะพบว่าบริษัทนี้เคยถูกฟ้องดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันมาแล้ว 3 ประเทศ
นั่นก็คือที่สหรัฐอเมริกาที่รัฐมินนิโซต้า อันเป็นที่ตั้งของบริษัทแม่ของบริษัทดังกล่าว ที่สหภาพยุโรปหรืออียูและที่โคลัมเบีย โดยทั้ง 3 คดีฝ่ายรัฐเป็นผู้ชนะทั้งสิ้นทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมหาศาล ดังนั้น คงต้องฝากทางเนติบริกรประจำรัฐบาลช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด จะได้ไม่เสียคนและถูกมองด้วยความไม่ไว้วางใจว่ามีวาระใดแอบแฝงซ่อนเร้นหรือไม่
ขมวดปมชัดเจนมาเรื่อยๆ สำหรับการร่างรัฐธรรมนูญภายใต้การกุมบังเหียนของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ว่าด้วยระบบเลือกตั้งส.ส. นอกจากยืนยันว่าจะมีส.ส. 500 คนจาก 2 แบบมีแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ โดยใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวตามระบบจัดสรรปันส่วนผสมแล้ว ล่าสุด เผยปมเรื่องจำนวนส.ส.เขตอีกขยักว่า กรณีที่มีพรรคการเมืองใดได้จำนวนส.ส.เกิน 150 เขตอาจจะต้องกำหนดสัดส่วนจำนวนส.ส.ไว้
ที่กำลังพิจารณากันต่อไปคือจะใช้วิธีคิดคำนวณอย่างไร เพื่อไม่ให้พรรคนั้นได้ส.ส.ในจำนวนที่มากเกินไป โห!ถ้าคิดกันได้ถึงขนาดนั้น ไม่เขียนรัฐธรรมนูญเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่า ห้ามพรรคการเมืองนั้น ซึ่งก็หนีไม่พ้นเพื่อไทยว่าส่งส.ส.ได้ไม่เกินจำนวนเท่านี้ และห้ามไปด้วยว่าห้ามคนที่มีนามสกุลดังต่อไปนี้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ไหนๆ ก็จะเดินกันแบบนี้ก็ทำให้มันสุดโต่งไปเลยดีกว่า และไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาต่อต้าน อำนาจพิเศษอย่างมาตรา 44 สามารถจัดการเด็ดขาดได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้กระมัง วรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถึงได้ออกมาบอกว่า ก็เขียนรัฐธรรมนูญห้ามคนในเครือข่ายของพรรคนายใหญ่ลงสมัครรับเลือกตั้งไปเสียเลยจะได้ไม่ต้องมาแก้ตัวหรืออ้อมค้อมกันอยู่แบบนี้
นั่นเป็นสิ่งที่น่าจะตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด เพราะข้อเท็จจริงที่ผ่านมาก็คือ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบ แต่อยู่ที่คนไม่ยอมรับกติกา แพ้เลือกตั้งแล้วก็สร้างสถานการณ์ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาที่ มีชัยและกรธ.ต้องหาทางแก้ไข ในฐานะมือกฎหมายระดับชาติ หากมีความตั้งใจแก้ไขปัญหาของประเทศจริง ต้องร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นหลักสากล
แต่คงจะยากเพราะเห็นการหมอบกราบยกยอปอปั้นในวันที่พุทธะอิสระไปยื่นหนังสือเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปแล้ว มันแยกไม่ออกกับภาพความเป็นพวกเดียวกัน เพราะไม่มีการเก็บอาการแม้แต่น้อย คนหนึ่งพูดถึงคนอยู่ต่างประเทศบริหารพรรคต้องถูกยุบ ขณะที่คนห่มผ้าเหลืองบอกให้ต้องลงโทษอย่างสาสมกับคนที่กระทำผิดทุจริตทั้งเลือกตั้งและการบริหารประเทศ
ทั้งหมดที่แสดงออกอย่าคิดว่าประชาชนเขากินหญ้า ทุกคนต่างรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่พูดก็เท่านั้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีผู้บริหารและฝ่ายครองอำนาจที่ใดชื่นชอบ เนื่องจากมันเดาใจไม่ได้ว่า คนเหล่านั้นคิดอย่างไร ดังนั้น หากไม่เปิดโอกาสให้แสดงความเห็นอย่างกว้างขวางและรับฟังอย่างทั่วถึง บรรยากาศประเทศที่สงบสุขจึงเป็นเพียงแค่ฝันลมๆ แล้งๆ
ส่วนเรื่องความก้าวหน้าของประชาธิปไตยคงไม่ต้องพูดถึง เพราะเรามีระบอบประชาธิปไตยมานานแสนนาน และควรจะต้องพัฒนาให้มันดีขึ้น เจริญรุดหน้ามากกว่าประเทศในภูมิภาคเดียวกัน แต่กลับเป็นว่า ยิ่งนานวันเห็นแต่การถอยหลังเข้าคลอง จนไม่น่าเชื่อว่านาทีนี้พม่าที่เคยถูกดูแคลนมาโดยตลอดจะมีประชาธิปไตยที่แซงหน้าเราไปเสียอีก