ดัชนีหุ้นไทยและหุ้นธนาคาร
ดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันล่าสุด ยังคงมะงุมมะงาหรา ตรงกันข้ามกับทำสถิตินิวไฮในรอบสองปี จากสาเหตุเงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง และสถาบันกลับมาซื้อสุทธิ
ดัชนีตลาดหุ้นไทย SET ในวันล่าสุด ยังคงมะงุมมะงาหรา
ตรงกันข้ามกับทำสถิตินิวไฮในรอบสองปี จากสาเหตุฟันด์โฟลว์หรือ เงินทุนไหลเข้าต่อเนื่อง และสถาบันกลับมาซื้อสุทธิเมื่อวันแรกของปีนี้
แถมมูลค่าซื้อขายยังลดฮวบฮาบต่ำกว่าวัน 5 หมื่นล้านบาท
ที่เป็นเช่นนี้เพราะสะท้อนว่า ราคาหุ้นไทยยังไม่น่าสนใจ และการลงทุนย้ายที่จากตลาดหุ้นไทยไปสู่ตลาดหุ้นอื่นหรือตลาดอื่น
ตลาดหุ้นไทยยามนี้ มีแต่ข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เป็นโมเมนตัมต่อเนื่องจากสัญญาณเงินทุนต่างชาติยังถอนตัวต่อเนื่อง อีกทั้งนักลงทุนสถาบันภายในประเทศยังไม่กลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทย หลังจากเป็นผู้ขายสุทธิ หลายเดือนก่อน
การขายสุทธิของต่างชาติถือว่าเป็นเพียงการปรับพอร์ตเพื่อไถ่ถอนกองทุน LTF แล้ว ทำให้ภาพของเดือน มกราคม จะเป็นการกลับมาซื้อสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อสองกลุ่มนี้มารวมกันอีกครั้ง ซึ่งยังกำหนดไม่ได้ ทำให้แรงส่งต่อ SET INDEX ปรับตัวขึ้นไม่ดำเนินต่อ
ขณะที่การแพร่ระบาดของของโควิด-19 ระลอกใหม่ก็ยังคงไม่ใช่ข่าวดีที่หนุนหลังดัชนี (ซึ่งมีจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มเร็ว แต่ยอดสัดส่วนผู้เสียชีวิตน้อยลง ถือว่าเป็นปัจจัยที่ทุกคนคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว แต่ตลาดก็ยังคงไม่รู้สึกดีขึ้นอีก
ในปีนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดเดาว่าตัวแปรเชิงบวกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยรุดไปข้างหน้ายังมี มาตรการภาษีรถยนต์ไฟฟ้า (EV), มาตรการท่องเที่ยว และการที่ตัวเลขหนี้เสียของหุ้นกลุ่มธนาคารลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ปัจจัยบวกหลังจากที่ดัชนี SET หลังจากทำหลักหมุดเสร็จแล้วในช่วงเปิดตลาดวันแรก แม้ว่าดัชนีคงต้องปรับท่าทีเป็นไซด์เวย์ขาขึ้น หรือไม่ก็พักฐานหาฐานใหม่เหนือ 1,620 จุดให้ได้ โดยมีปัจจัยที่จะเสริมส่งคือหุ้นกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และค้าปลีก เป็นตัวเสริม จากผลงานที่ยังคงแข็งแกร่ง
สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่หากไม่นับหุ้นอย่าง TISCO และ KBANK แล้วยังคงถือว่าราคาต่ำเพราะราคาต่ำกว่าบุ๊กแวลู เกือบทั้งกลุ่ม และจัดการปัญหาเรื่องหนี้สงสัยจะสูญได้ดีขึ้นจากมาตรการช่วยเหลือเสริมของธนาคารแห่งประเทศไทย
ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่โดดเด่นประกอบด้วยหุ้น SCB, KTB, BBL, KBANK, และ BAY ที่ราคาต่ำกว่าบุ๊กแวลู และยังคงสามารถในการทำกำไรสุทธิดีเยี่ยม บางรายสามารถทำกำไรต่อหุ้นได้เด่นมากจนสามารถทำนิวไฮได้ในรอบหลายปี เช่น SCB, BBL และ BAY แม้ว่ารายหลังจะมีกำไรพิเศษมากกว่ากำไรจากการดำเนินงาน จากการที่บริษัทใต้ร่มเข้าระดมทุนในตลาดอย่าง TIDLOR แต่ก็ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรที่จะทำให้กำไรปีใหม่นี้ลดลง
อย่างน้อย ดอกเบี้ยที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นตามทิศทางของเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ก็น่าจะทำกำไรเพิ่มขึ้นมากเป็นจุดเด่นของปีนี้ แต่ในมุมกลับก็อาจจะทำให้ต้นทุนการเงินของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ดีขึ้นมากนัก
ปีนี้ ราคาหุ้น KBANK น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจากการที่มีกำไรโดดเด่นเป็นธนาคารที่ทำกำไรโดดเด่นสุดในตลาดและในกลุ่มธนาคาร
สำหรับ BBL ที่ยังไม่มีความหวือหวา แต่การลงทุนซื้อกิจการธนาคารพาณิชย์ในอินโดนีเซียหลายปีก่อน น่าจะผลิดอกออกผลเป็นรายได้จากเงินลงทุนที่เป็นกอบเป็นกำอย่างยั่งยืน ทำให้พื้นฐานความสามารถทำกำไรเด่นมากกว่าเดิม และหากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลายตัวลง น่าจะเป็นหุ้นที่ราคากลับมาเหนือกว่าบุ๊กแวลูได้อีก เพราะราคาล่าสุดแถว 125 บาท ถูกมากเมื่อเทียบกับบุ๊กแวลูที่ 255 บาท ซึ่งหมายถึงราคาหุ้นในทางทฤษฎีที่จะพุ่งขึ้นเกือบ 100% จากราคาปัจจุบันได้
มีประเด็นคำถามก็คือธนาคารอย่าง TTB ที่หลังการควบรวม กลับมีกำไรสุทธิต่ำลงเห็นได้ชัดเจน แต่ราคาหุ้นในตลาดที่ต่ำกว่าบุ๊กแวลูอย่างมาก น่าจะส่งผลให้หากปีใหม่นี้มีกำไรกลับมาสวยงามอีกครั้งราคาที่ต่ำติดพื้นก็น่าจะปรับขึ้นได้ เพียงแต่ต้องไม่กินเวลาช้าเกิน หลังจากที่มีการจ่ายปันผลเป็นวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นปลอบใจที่ราคาหุ้นไม่ยอมขยับขึ้นเอาเสียเลย
สำหรับหุ้นกลุ่มนี้ในขนาดเล็กอย่าง CIMBT ที่กลับมาทำกำไรโดดเด่นอย่างมาก ในไตรมาสแรก จนทำให้ราคาหุ้นที่ต่ำกว่าบุ๊ก 1.26 บาท น่าจะเป็นทิศทางราคาขาขึ้นครั้งใหม่ที่น่าติดตามกันพอสมควร 0.80 บาท เพราะไม่น่าจะมีการเพิ่มทุนอะไรที่ส่งผลให้เกิดสะดุดขาตัวเองขึ้นมาได้
อัตรากำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มนี้โดยเฉลี่ยเกินกว่า 20% ในขณะที่ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊กคือเสน่ห์ของหุ้นธนาคารในปีนี้น่าจะตลอดทั้งปีเสียด้วยซ้ำ
ใครที่ไม่เคยถือหุ้นธนาคารมาก่อน ปีนี้ต้องหันมาคิดใหม่ ติดปลายนวมไว้บ้าง เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ มีตั้งแต่ราคาเฉียด 200 บาท จนถึงระดับเรี่ยพื้นระดับบาทเศษ ๆ ให้เลือกหาซื้อ
เผลอ ๆ อาจจะได้เป็นเศรษฐีใหม่จากหุ้นธนาคารที่เคยน่าเบื่อมาก่อน……ก็ได้
อย่างน้อยก็ในฝัน