พาราสาวะถี
หยุดยาว 5 วันแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะภาคเอกชนส่วนใหญ่ไม่ได้หยุดตามราชการและรัฐวิสาหกิจ แต่ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายของคนจำนวนมากเพื่อกลับภูมิลำเนา
หยุดยาว 5 วันแม้จะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะภาคเอกชนส่วนใหญ่ไม่ได้หยุดตามราชการและรัฐวิสาหกิจ แต่ก็จะเกิดการเคลื่อนย้ายของคนจำนวนมากเพื่อกลับภูมิลำเนา ท่องเที่ยวและทำบุญ จึงทำให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นกังวลต่อตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกรงว่าจะเพิ่มมากขึ้นหลังการหยุดยาว เนื่องจากฤทธิ์เดชของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4-BA.5 นั้นแพร่เร็วและติดกันได้ง่าย แต่ก็ทำได้เพียงเตือนให้ประชาชนการ์ดอย่าตกเพียงเท่านั้น
เนื่องจากมีการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ จนทำให้กิจกรรม กิจการต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้แทบจะปกติ ดังนั้น ผลที่จะเกิดหลังจากนี้จึงอยู่ที่หมอการเมืองทั้งหลาย และรัฐบาลภายใต้การบัญชาการของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ในการบริหารจัดการ ซึ่งการยืนยันว่าเอาอยู่นั้น ก็ต้องดูกันต่อว่าจะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ ล่าสุด ทางองค์การอนามัยโลกก็ได้ส่งสัญญาณเตือนว่าโรคโควิด-19 ยังห่างไกลจากคำว่าจบ มิหนำซ้ำ ยังอาจน่ากังวลมากขึ้นอีกด้วย เพราะการลดความเข้มข้นในการตรวจหาเชื้อและเฝ้าระวังของแต่ละประเทศ
เทดรอส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก แสดงความกังวลถึงจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลให้ระบบสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประสบภาวะตึงมือมากยิ่งขึ้น โดยที่ตัวแปรย่อยของโอมิครอนอย่าง BA.4-BA.5 เป็นตัวการหลักให้ผู้ป่วยทั่วโลกต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิต สวนทางกับการเฝ้าระวัง รวมถึงการทดสอบและติดตามผลที่ลดลงอย่างมาก ทำให้การประเมินผลกระทบของสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ ต่อการแพร่ระบาด และประสิทธิภาพการรับมือทำได้ยากขึ้น
สำหรับประเทศไทยก็รอลุ้นกันว่าตัวเลขหลังจากผ่านช่วงหยุดยาวรอบนี้ไปแล้วจะออกมาอย่างไร ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เมื่อหมอการเมืองพร้อมใจกันยืนยันว่ารับมือได้ ไม่มีปัญหาก็คงต้องเชื่อกันตามนี้ไปก่อน เพราะสัปดาห์หน้าเปิดฉากมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 11 รัฐมนตรีก็จะเปิดฉากขึ้น จะกลายเป็นไฮไลท์ที่ผู้คนให้ความสนใจมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งทางการเมืองก็เกิดการขยับจนเป็นที่จับตามองกันในแง่ของพรรคเศรษฐกิจไทยที่มี ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวหน้าพรรค
การประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลเพื่อแสดงตัวให้ชัดเจน เป็นผลมาจากบทเรียนความพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมที่ลำปาง ความน่าสนใจอยู่ที่การวางบทบาทและขับเคลื่อนในสภาของ ส.ส.ทั้งหมดจากเศรษฐกิจไทย จะดำเนินไปในทิศทางใด เพราะฝ่ายค้านเองก็คงยังไม่ไว้วางใจกันแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เว้นเสียแต่ว่าในศึกซักฟอกที่จะเกิดขึ้นทาง ส.ส.ของพรรคแสดงเจตจำนงค์ขอร่วมพร้อมกับชุดข้อมูลที่จะทำให้รัฐมนตรีบางรายมีอันต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสภา ตรงนี้อาจจะทำให้ฝ่ายค้านเชื่อใจได้
ประเมินทีท่าจากพรรคฝ่ายค้านอย่างก้าวไกล รังสิมันต์ โรม ก็บอกว่าให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์การเลือกฝ่ายของธรรมนัสและพวกเป็นเพียงแค่ละครแหกตา หรือมองเห็นความต้องการของประชาชนเป็นด้านหลักกันแน่ อย่างไรก็ตาม มุมมองของ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงที่สุด เมื่อเลือกที่จะไม่ถือหางรัฐบาลแล้วนั่นก็หมายความว่า ต้องเป็นฝ่ายค้านไปโดยปริยาย
จะมาบอกว่าเป็นฝ่ายตรวจสอบคงเป็นไปไม่ได้ ส่วนทิศทางการทำงานของพรรคเศรษฐกิจไทยในสายตาของผู้นำฝ่ายค้านชัดเจนว่า รัฐมนตรีที่มีการติดตาม ตรวจสอบ และรอดูข้อมูลที่จะถูกอภิปราย คงจะเห็นพ้องกับฝ่ายค้าน และคงจะลงมติไปในแนวทางเดียวกัน ทว่าอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า เสียงของฝั่งขบวนการสืบทอดอำนาจไม่ได้ยี่หระต่อจำนวน ส.ส. 18 รายของพรรคเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเลือกข้างไหนก็ตาม นั่นเพราะบรรดางูเห่ากินกล้วยทั้งหลาย ยังพร้อมที่จะยกมือสวนมติพรรคต้นสังกัดอยู่ตลอดเวลา
ตามที่หมอชลน่านวิเคราะห์ เสียงฝ่ายค้านจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ต้องไปดูเสียงจริง เพราะขณะนี้ต้องยอมรับว่า ฝ่ายค้านถูกดึงตัว ถูกซื้อตัวไปเยอะมาก ที่เรียกว่างูเห่า อันนี้เป็นตัวแปรที่มีผลพอสมควร ขึ้นอยู่กับสำนึกรับผิดชอบของผู้ที่จะลงมติในขณะนั้นมีต่อบ้านเมืองมีจำนวนมากน้อยขนาดไหน ข้อมูลชัดแจ้งแต่เอาเสียงข้างมากลากไปอันนี้ค่อนข้างลำบากใจในการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ฉะนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนจะเป็นคนตัดสิน
เมื่อประกาศมาอย่างนี้ก็ชัดเจนว่า เป้าหมายของฝ่ายค้านนั้นไม่ได้หวังที่จะชนะโหวต หรือมีเสียงไม่ไว้วางใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งจนกระทบต่อรัฐบาลเรือเหล็กทั้งคณะ หากแต่จะเป็นการใช้ศึกซักฟอกเป็นเวทีนวดให้น่วม ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและเครือข่ายสะบักสะบอมก่อนก้าวเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง แม้ว่าจะมีการประกาศกลยุทธ์ 3 แกนหลักและย้ำถึงเวลาที่เหลืออีก 8-9 เดือน หากเป็นเมื่อก่อนอาจพอจะเชื่อได้ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้น
สถานการณ์ดำเนินมาถึงเวลานี้ การประกาศเลือกข้างของธรรมนัสอาจดูไม่ได้เหนือความคาดหมาย ไม่ได้สร้างแรงกดดันใด ๆ ต่อเสียงที่จะค้ำยันเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะเชื่อในเสียงของพวกฝากเลี้ยงและแจกกล้วย แต่การประเมินแนวโน้มทางการเมืองพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ ย่อมมองเห็นความต้องการของประชาชน เสียงสะท้อนของคนที่ได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าจากความไม่เอาไหนในการบริหารประเทศของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ
นั่นมันจึงทำให้หัวหน้าของทั้งสองพรรคมีการเรียกประชุมและหารือแกนนำของพรรคกันถี่ยิบ ไม่ใช่เตรียมพร้อมข้อมูลรับมือซักฟอก หากแต่เป็นการตรวจสอบผลงานที่จะสามารถนำไปเคลมกับประชาชนในสนามเลือกตั้งได้ ประเมินกระสุนดินดำที่เตรียมการไว้สำหรับการเลือกตั้งว่าพร้อมและยิงไปแล้วหวังผลได้หรือไม่ รวมไปถึงพวกงูเห่าที่เตรียมจะเปลี่ยนสีเสื้อ ก็มีการทำโพลกันหลายรอบว่าเสียงสนับสนุนยังมีอยู่มากพอที่จะชนะเลือกตั้งหรือไม่ ทั้งหมดนี้จะมีการสรุปกันเป็นระยะ สุดท้ายจะนำไปสู่การกดดันทางการเมืองเพื่อให้เกิดการเลือกตั้งโดยที่ไม่ต้องรอให้อยู่กันครบเทอม