พาราสาวะถี
เปิดศึกกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พร้อม 10 รัฐมนตรีที่ถูกลากขึ้นเขียง
เปิดศึกกันไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ พร้อม 10 รัฐมนตรีที่ถูกลากขึ้นเขียง แค่จั่วหัวจากการอ่านญัตติอภิปรายและขยายความญัตติโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ก็เข้มข้นแล้ว มีการกล่าวหารัฐบาลสืบทอดอำนาจเป็นเห็บปรสิตที่สูบเลือดประเทศ พร้อมชี้ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นผู้นำไร้ความสามารถทุกมิติ เรียกร้องอย่าดันทุรังบริหารประเทศ อย่าอยู่เป็น 608 ทำลายชาติ
ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลุกขึ้นอภิปรายตอบโต้ทันที ทำให้เห็นว่าไม่ได้เป็นรองอีกฝ่ายทางการเมือง โดยการซัดกลับผู้นำฝ่ายค้านว่ามองรัฐบาลด้วยอคติ พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง แต่สิ่งที่เป็นการเย้ยหยันกันทางการเมืองคือ การบอกให้ผู้นำฝ่ายค้านหาทางนำเอาคนเก่งที่ตัวเองชื่นชมกลับมาให้ได้ก็แล้วกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงใคร แต่การใช้มุกเดิมคือปลุกผีทักษิณมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามนั้น น่าจะใช้ไม่ได้ผล เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้อินกับระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม สีสันเรียกน้ำย่อยการเข้าสู่เวทีซักฟอกคือการที่ฝ่ายค้านอย่างเพื่อไทยและก้าวไกล ได้ทำโปสเตอร์โปรโมตกันก่อนหน้านั้น ทางซีกรัฐบาลก็ไม่ยอมน้อยหน้ามีการปล่อยโปสเตอร์จากเพจเชียร์ลุงเหมือนกัน ด้วยสโลแกน NO TIME TO DIE พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย แต่ก็ถูกค่อนขอดจากโลกโซเซียลว่า อุตส่าห์จะโชว์เหนือทั้งที แต่ไม่มีปัญญาคิดเองไปลอกเลียนแบบหนังฝรั่งมา ถ้าไม่คิดอะไรมากก็มองเรื่องนี้เป็นแค่การเร้าความสนในของผู้คนให้ติดตามเท่านั้นเอง
สิ่งที่น่าสนใจเวลานี้แม้การอภิปรายยังเหลือเวลาอีก 3 วัน บรรดาคอการเมืองต่างมองกันไปที่เสียงโหวตไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 11 คนแล้วว่า จะออกมาอย่างไร ถูกจับตามองมากที่สุดคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งถูกซักฟอกเป็นคนแรก ด้วยความที่มี ส.ส.ต่างพรรคที่จะดึงตัวมาอยู่ด้วยทั้งที่เปิดตัวไปแล้วและสงวนท่าทีจำนวนไม่น้อย บวกกับพวกที่ตัวไม่มาแต่ดูแลกันอยู่ จึงทำให้เชื่อกันว่าน่าจะมีเสียงโหวตไว้วางใจเกิน 270 เสียงตามที่เจ้าตัวแสดงความมั่นใจ
แต่เสียงดังกล่าวนั้นไม่ได้หมายถึงว่ารัฐมนตรีทุกคนจะได้เท่ากัน เนื่องจากการเจรจาไม่ได้เป็นไปแบบเหมาจ่าย แค่การันตีรัฐมนตรีของพรรคที่ถูกอภิปรายซึ่งก็มี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีคมนาคมในฐานะเลขาธิการพรรคอีกรายเท่านั้นที่อยู่ในออปชั่นต้องช่วยโหวตสนับสนุน ส่วนรายอื่น ๆ ถ้าจะให้พวกที่ถูกเรียกว่างูเห่ามายกมือไว้วางใจ ต้องไปเจรจากันเอาเอง ซึ่งพวกที่พร้อมโหวตสวนมติพรรคต้นสังกัด รับแค่นี้ก็สบายกันไปอีกนานอยู่แล้ว ที่สำคัญหากไปยกมือสวนทุกคนคงอยู่ร่วมงานกับพรรคเดิมลำบาก
ส่วนบรรดาพรรคเล็กในนามกลุ่ม 16 ที่แสดงท่าทีแข็งกร้าวก่อนหน้านั้น วันนี้ยืนยันตรงกันทุกสายได้อย่างที่ต้องการแล้วจึงไม่น่าจะมีใครแตกแถว หรือทำให้รัฐมนตรีที่ถูกลิสต์รายชื่อเกิดความไม่สบายใจ ขณะที่พรรคเศรษฐกิจไทยของ ธรรมนัส พรหมเผ่า สถานการณ์ทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งซ่อมที่ลำปางมา ถูกบีบให้ต้องยืนอยู่ข้างฝ่ายค้านสถานเดียวเท่านั้น ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณกันคงมีเพียงแค่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.รายเดียวเท่านั้น
เป็นไปตามที่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ประกาศกลางวง ส.ส.พรรคสืบทอดอำนาจที่ให้ช่วยกันดูแลเรื่องเสียงโหวตในสภาให้เรียบร้อย และไม่ต้องหวังพึ่งพาเสียงจากกลุ่มของธรรมนัสอีกแล้ว เพราะเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ไม่สามารถที่จะควบคุมอะไรได้อีกต่อไป เรื่องนี้คงไม่มีใครเข้าใจดีเท่ากับผู้มีพระคุณที่ผู้กองมันคือแป้งให้ความเคารพ ความจริงเรื่องการเลือกข้างของเศรษฐกิจไทยนั้น ไม่ใช่แค่ผลเลือกตั้งซ่อมที่เพิ่งผ่านมาเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงฝ่ายที่เคยเป็นมิตรประกาศความเป็นศัตรูกันชัดเจน
ประเด็นนี้บรรดา ส.ส.ในสังกัดของธรรมนัสต่างรู้ดี สิ่งที่ไปพูดกันว่ามีความเคลื่อนไหวเพื่อต่อรองในตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น มันเลยจุดนั้นไปแล้ว เพราะหลังการชักธงรบของธรรมนัสเมื่อคราวศึกซักฟอกรอบที่แล้ว จนจบลงด้วยการถูกอัปเปหิจากพรรคสืบทอดอำนาจพร้อมพวกนั้น ความบาดหมางที่เกิดขึ้นกลายเป็นการตามล่าตามล้างกันไม่เลิก มีการเล่นงานกันในทางลับต่อเนื่อง จนถึงขนาดมีการพูดกันในกลุ่มว่ามี “มือที่มองไม่เห็น” อยู่เบื้องหลังในการทำลายธรรมนัสและพวกตลอดเวลา
ต้องรอดูว่าระหว่างศึกซักฟอกรอบนี้ ธรรมนัสและพวกจะมีทีเด็ดอะไรที่ส่งเป็นข้อมูลไปให้ฝ่ายค้านหรือไม่ แม้จนถึงขณะนี้ทางพรรคร่วมฝ่ายค้านต่างยืนยันว่า ยังไม่มีการต่อสายหรือแสดงตัวเพื่อเข้าร่วมงานกันแต่อย่างใด แต่วงในมีรายงานถ้าไม่มีการล็อบบี้หรือขอกันไว้ก่อน คงมีใครบางคนถูกถลกหนังเสียผู้เสียคนแน่นอน สำหรับราคาของการค้ำยันเก้าอี้ต่อการโหวตไว้วางใจจนถึงเวลานี้อยู่ที่ 7 หลักปลายไปจนถึง 8 หลักต้น ๆ กันแล้ว
เรื่องคู่ขนานมาก่อนจะถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอยู่คือ การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีกรรมาธิการจากฝ่ายค้านหลายรายไล่บี้ถามกันอย่างเผ็ดมัน หนึ่งในนั้นคือ สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมาธิการจากพรรคเสรีรวมไทย พักยกกันไว้ที่คำชี้แจงจากฝ่ายกองทัพและการรอเอกสารที่ร้องขอจากฝ่ายอดีตคนที่เคยเป็น กกต.
ที่ชี้แจงมาแล้วชวนให้ติดตามคือ งบซื้อรถเบนซ์หรู S500 ที่กองทัพบกบอกว่าไม่ใช่รถประจำตำแหน่ง หากแต่เป็น “รถควบคุมการสั่งการ” เรื่องนี้สมชัยจึงได้ร้องขอเอกสารต่อว่า ในกองทัพบกขณะนี้มีจำนวนกี่คัน จัดซื้อมาในปีงบประมาณใด เป็นจำนวนเงินเท่าไร และเป็นการขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณเดิมจากรายการใด เนื่องจากไม่เคยปรากฏรายการครุภัณฑ์ชื่อนี้ ในเอกสารงบประมาณที่ส่งสภา โดยมีการขอข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี
ทำไมต้องซักไซ้กันขนาดนี้ เพราะสิ่งที่สมชัยได้รับฟังการชี้แจงข้อมูลก็คือ อัตราค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนรถประจำตำแหน่งเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่การเทียบตำแหน่งของกองทัพกับพลเรือนน่าตกใจ เช่น กระทรวงมีปลัดกระทรวงได้ 1 คน แต่กองทัพตีเทียบเท่าพลโทขึ้นไป ดังนั้น เท่ากับกองทัพสามารถเบิกในอัตราปลัดกระทรวงได้หลายร้อยคน ตรงนี้สะท้อนถึงอะไร ความเหลื่อมล้ำที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอ้างบ่อย ๆ นั้นรวมถึงจุดนี้ด้วยหรือเปล่า รอจบศึกซักฟอกน่าจะมีอะไรเด็ด ๆ ให้ได้ฮือฮากันอีก