พาราสาวะถี

เป็นธรรมดาของศึกซักฟอกที่จะต้องมีการตอบโต้กันไปมาทั้งในและนอกสภา คู่ใหญ่ไล่ฟัดกันคงเป็นรายของ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ กับ ทักษิณ ชินวัตร


เป็นธรรมดาของศึกซักฟอกที่จะต้องมีการตอบโต้กันไปมาทั้งในและนอกสภา คู่ใหญ่ไล่ฟัดกันคงเป็นรายของ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ กับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ท่านผู้นำมีการพาดพิงถึง แม้จะไม่พูดถึงโดยตรงคนก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร จนกระทั่งอดีตนายกฯ ในนามของ โทนี่ วูดซัม ได้มีการโต้กลับแบบแสบ ๆ คัน ๆ ประสาไก่เห็นตีนงู ในใจของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมีตนอยู่ตลอดเวลา คิดถึงกันตลอดเวลา ก่อนที่จะบลัฟกลับตอนจะเป็นนายพลยังให้คนมาขอตนอยู่เลย

ฉายภาพตรงนี้ยิ่งทำให้คนนำไปเทียบกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่เคยไปเกาะโต๊ะขอเก้าอี้ ผบ.ทบ.กับนายใหญ่เหมือนกัน มันจึงถูกโยงมาที่ประเด็นว่าเหตุผลของการบริหารประเทศไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็เพราะเป็นพวกช่างขอ โตมาได้ด้วยเส้นสายการวิ่งเต้น ไม่ใช่เป็นใหญ่เป็นโตจากความรู้ ความสามารถนี่เอง แต่ก็นั่นแหละ เมื่อนักข่าวมาดักรอถามผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในวันรุ่งขึ้น ไม่ได้มีการตอบโต้ใด ๆ เพียงแต่บอกว่า “ปากเขามีไว้พูด ทุกคนก็พูดได้หมดแหละ”

หรือจะมองอีกแง่ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทำท่าประกอบชี้ไปที่ปากนั้นมันหมายถึง น้ำท่วมปากหลายเรื่องมันพูดไม่ได้อายกันเปล่า ๆ มองให้เป็นสีสันระหว่างการอภิปรายก็แล้วกัน เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็มีลิ่วล้อที่จะคอยออกมาปกป้องคนที่เป็นนายของตัวเอง เพียงแต่ว่าฝ่ายที่กุมอำนาจปัจจุบันจะมีพวกเสนอหน้าสอพลอมากน้อยแล้วแต่ว่าใครจะถนัดนำเสนอแบบไหน ประเภทไร้หัวคิด มาตรฐานต่ำกว่าเพื่อนก็ดับเครื่องชนอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม ผลพวงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจหนนี้ทั้งที่ยังไม่จบสิ้นและลงวันลงมติ แต่ก็ทำให้เห็นทิศทางการเมืองของการเลือกตั้งครั้งหน้าได้เป็นอย่างดี สูตรหาร 500 ในการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ทำให้ชี้ชัดได้ว่า ความพยายามของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกับพรรคการเมืองที่หนุนหลังนั้น ต้องการที่จะให้ได้ ส.ส.ในจำนวนที่ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 แม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การเลือกตั้ง ถ้าสามารถรวมเสียงกับ ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงได้ ก็จะสามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้เหมือนเดิม

จับอาการแบบนี้ได้จากบทสัมภาษณ์ของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กล้าประกาศว่าต่อให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ตนก็ไม่คิดจะร่วมอยู่แล้ว เหมือนเป็นการแสดงความมั่นอกมั่นใจว่า อย่างไรเสียพรรคของนายใหญ่ก็ไม่มีทางที่จะแลนด์สไลด์ได้โอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอย่างแน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละนักการเมืองประเภทปลาไหลเรียกพี่อย่าได้ไปยึดถือในคำพูดใด ๆ ทั้งสิ้น

หากจำกันได้ก็นักการเมืองคนเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ ที่ในช่วงจังหวะที่มีการไล่บี้ขอความชัดเจนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ประกาศหน้าตาเฉยว่าพรรคไม่เคยหาเสียงว่าจะแก้ แต่พอกระแสสังคมกดดันหนักก็กลับลำแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อ้างว่าสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว รวมไปถึงการตอบคำถามในสภาที่ถูกซักฟอกเรื่องการไปหาเสียงแล้วบอกว่าปลดล็อกกัญชาเสรีสามารถพี้ได้ ทั้งที่ตัวเองและพรรคอ้างว่าเป็นไปเพื่อการแพทย์

สุดท้ายก็จบแบบหน้าตาเฉยอ้างว่าเป็นมุกตลก ถ้าทำให้ไม่พอใจก็ขอโทษด้วยก็แล้วกัน การสุมหัวอยู่กับเผด็จการสืบทอดอำนาจ คงได้รับวิชาอย่างหนามากันถ้วนหน้า อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ทำให้กล้าที่จะเลือกข้างไว้ล่วงหน้า คงเป็นเพราะมั่นใจในพลังดูดที่เวลานี้มี ส.ส.จากพรรคแกนนำฝ่ายค้านเตรียมที่จะย้ายคอกมาเข้าร่วมชายคานับสิบราย โดยเป้าหมายกวาดยกจังหวัดหลายแห่งในภาคอีสานยังคงเดินหน้าต่อไป ซึ่งคงต้องรอให้เสร็จศึกซักฟอกหนนี้ น่าจะได้เห็นนักเลือกตั้งหวังผลประโยชน์ทั้งหลายแสดงตัวชัดเจนขึ้น

ประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วิษณุ เครืองาม ให้คำตอบชัด ไม่ว่าจะมีการเว้นวรรคหรือไม่ คนใดที่เคยเป็นนายกฯ มา 8 ปีแล้วก็ไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งได้อีก เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เช่นนั้น ไม่ว่าจะเคยเป็นมา 4-5 ครั้ง ครั้งละกี่ปีก็ตาม เมื่อรวมกันแล้วเกิน 8 ปีก็เป็นต่ออีกไม่ได้ เว้นเสียแต่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่มีวลีพ่วงท้ายว่า “ไม่มีใครเขาทำให้หรอก” คนคงคิดว่าโยนหินถามทางแน่นอน

คำอธิบายเช่นนี้ไม่จำเป็น ความจริงคนทั่วไปแม้แต่เด็กอมมือก็เข้าใจได้ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญนั้นไม่เกิน 8 ปี คือ การนับรวมความเป็นนายกฯ ทุกสมัย สิ่งที่สังคมอยากรู้และให้เกิดความชัดเจนมากที่สุดคงเป็นรายของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมากกว่า 8 ปีหากไม่นับรวมสมัยที่มีหัวโขนของผู้นำเผด็จการ คสช.ด้วยนั้น มันจะอธิบายกันอย่างไร แต่หน้าที่นี้เนติบริกรศรีธนญชัยก็เรียกร้องมาแล้วว่า ให้มีคนรีบส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความโดยเร็ว

เพราะถ้าหากนับความเป็นนายกฯ ครบ 8 ปีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตั้งแต่ปี 2557 ก็จะครบกำหนดในเดือนสิงหาคมนี้ การที่ไม่มีสัญญาณใด ๆ และยังแสดงให้เห็นว่าจะอยู่ต่อไปอีกยาวจนกว่าจะครบวาระจากการเลือกตั้งในปีหน้านั้น มันก็เหมือนเป็นตัวบ่งชี้ไปในตัวว่า การไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้นผลจะออกมาอย่างไร นี่แหละประเทศไทยอย่าไปหวังอะไรกับกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ย้อนกลับไปจากผลการตีความหลายเรื่องมันก็บ่งบอกถึงมาตรฐานได้ชัดเจน

ไม่ว่าจะเป็นใช้กฎหมายย้อนหลังในทางเป็นโทษกับการยุบพรรคไทยรักไทย เปิดพจนานุกรมตัดสินคดีเขี่ย สมัคร สุนทรเวช พ้นเก้าอี้นายกฯ แม้กระทั่งเรื่องของถนนลูกรังกับการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่คนส่วนใหญ่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากของคนที่ทำหน้าที่ตรงนั้น ถือเป็นความเห็นอันอัปยศอดสูที่สุด เหมือนกับระยะเวลากว่า 8 ปีที่ผ่านมา พวกหลับหูหลับตาเชียร์ไม่เคยมีความรู้สึกหรือคิดว่าประเทศนี้ก้าวหน้า พัฒนาอะไรไปบ้าง ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสกันหรือไม่ แต่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ทำงานแค่เดือนเศษ พากันเรียกร้องโน่นนี่นั่นหน้าสลอน เจอพวกดักดานแบบนี้นี่ไงประเทศจึงมีแต่สาละวันเตี้ยลง

Back to top button