พาราสาวะถี
ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาใช้กับท่วงทำนองของสมาชิกรัฐสภาในซีกขบวนการสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งเป็นส.ส. เกี่ยวกับสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ
ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำอะไรมาใช้กับท่วงทำนองของสมาชิกรัฐสภาในซีกขบวนการสืบทอดอำนาจ โดยเฉพาะผู้ที่มีตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากเดิมยืนยันหาร 100 ก่อนมากลับลำยกมือผ่านในวาระสองเป็นหาร 500 ล่าสุด จะกลับไปใช้หาร 100 อีก โดยอ้างเหตุอ้างผลสารพัด แบบนี้ไม่เรียกว่ากลับกลอก ปลิ้นปล้อน กะล่อน ตอแหล แล้วจะเรียกว่าอะไร หรือมันเหมือนคนที่อ้างเราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แต่ทำไปทำมาจะขออยู่จนกว่าตัวเองจะเบื่อ
เมื่อพิจารณาจากแนวทางที่วิปรัฐบาลเคาะกันล่าสุด ก่อนที่ประชุมรัฐสภาจะตีกลับนั้น เห็นได้ชัดว่ากระบวนการคิดของฝ่ายกุมอำนาจ ไม่ได้มองที่ปัญหาของรัฐธรรมนูญซึ่งตัวเองได้แก้ไขให้ไปใช้บัตรเลือกตั้งแบบ 2 ใบไปแล้ว หากแต่อยู่ที่ว่าเลือกใช้วิธีไหนแล้วพวกของตัวเองจะเสียเปรียบคู่แข่งน้อยที่สุด หรือได้เปรียบไปเลยยิ่งดี ดังนั้น สิ่งที่บอกว่าการพิจารณาร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ในประเด็นมาตรา 23 ซึ่งที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบในวาระสองให้ใช้สูตรหาร 500 คำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ไปแล้วนั้น
เห็นควรดำเนินการตามข้อบังคับพิจารณาวาระ 2 เรียงตามลำดับมาตราจนจบ ถ้ามีประเด็นอะไรที่ไม่ชอบ ขัด หรือแย้งตามรัฐธรรมนูญ ต้องให้รัฐสภาเสนอขอความเห็นไปยัง กกต.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 ต่อไป หาก กกต.จะยืนยันอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ กกต. โดยแนวทางนี้วิปรัฐบาลเชื่อว่า กกต.จะยืนยันกลับมาให้หาร 100 ตามที่เสนอร่างมาตั้งแต่ต้น ขณะที่อีกแนวทางหาก กกต.ชี้ว่าการแก้ไขของรัฐสภาที่ให้ใช้สูตรหาร 500 ไม่ขัดและเดินหน้าต่อไป เชื่อว่าจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ และถือเป็นที่สิ้นสุดเพราะผูกพันทุกองค์กร
น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่การพิจารณาเรื่องสำคัญกำลังจะถูกผลักไปให้เป็นภาระการตัดสินใจขององค์กรอิสระที่ความน่าเชื่อถือมีปัญหาอย่าง กกต. และปลายทางก็จะจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ความเชื่อมั่นจากประชาชนก็ไม่ได้ต่างจากองค์กรแรกเหมือนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มองไม่ต่างไปจาก สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต.ที่เห็นว่าการกลับไปกลับมาเรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของฝ่ายกุมอำนาจนั้นเป็นเรื่อง “วิตกจริต”
เหตุของการวิตกจริตจนกลายเป็นความกลัวขึ้นสมองของผู้มีอำนาจและลิ่วล้อสอพลอทั้งหลายนั้นมีอยู่แค่ประการเดียวคือ จะแก้กติกาบ้านเมืองอย่างไรให้ตัวเองได้เปรียบ โดยสิ่งที่สมชัยขยายภาพให้เห็นถึงพฤติกรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือ เปลี่ยนบัตรเลือกตั้งเป็นสองใบ เพราะกลัวว่าหากยังใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว พรรคสืบทอดอำนาจก็จะเดินตามรอยพรรคเพื่อไทยเมื่อคราวเลือกตั้งปี 2562 ที่ไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อันเป็นผลมาจากสูตรคำนวณจัดสรรปันส่วนผสม
หลังจากที่แก้รัฐธรรมนูญให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบไปแล้ว ก็ตั้งอกตั้งใจว่าจะให้ใช้สูตรหาร 100 ในการคำนวณ เนื่องจากมั่นใจเป็นอย่างมากว่ากระแสของพรรคสืบทอดอำนาจยังดีอยู่ และจะสูสีกับเพื่อไทย เบียดแย่งเก้าอี้กันได้ ขณะเดียวกันการใช้สูตรนี้จะเป็นการสกัดดาวรุ่ง เตะตัดขาไม่ให้พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.เป็นกอบเป็นกำเหมือนเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เรียกได้ว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้ผลหลายประการ แต่พอเจอคำประกาศแลนด์สไลด์ของเพื่อไทยเลยทำให้ต้องพลิกลิ้นกันหน้าตาเฉย
หันกลับมาหักดิบ และลบล้างมติของตัวเองที่เสนอหาร 100 มาตลอด กลายเป็นสูตรหาร 500 อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผ่านกระบวนการคิดคำนวณจำนวน ส.ส.ที่จะได้รับแล้ว หาร 500 ก็ยังจะได้จำนวน ส.ส.ที่เสียเปรียบพรรคคู่แข่งอยู่ดี จึงเกิดการโยนหินถามทางกันอุตลุดในเวลานี้ จนท้ายที่สุด ก็มองกันว่าหรือปลายทางจะจบลงแบบคว่ำร่างแก้ไขกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับในวาระสาม อันจะเป็นหนทางนำกลับไปสู่สูตรการคำนวณ ส.ส.แบบเดิม เมื่อบวกกับ ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียง ยังไงก็ได้กลับมากุมอำนาจเหมือนเดิม
กรณีนี้คงต้องมีกระบวนการที่จะตีความกันหลายขั้นตอนอยู่ดี เนื่องจากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบไปแล้ว จะกลับไปใช้การเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวคงยาก เว้นเสียแต่จะมีการตั้งต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญกันอีกกระทอก ในความเห็นของสมชัยชี้ว่า “ประสาทรับประทานหรือเปล่าครับท่าน” พร้อมสะกิดเตือนว่ารู้จักเกรงใจประชาชนบ้างไหม แต่ประเภทอย่างหนาคงไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ยิ่งมองไปถึงประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกรอบ ก็จะไปเข้าทางในการพ่วงแก้ไขปมห้ามเป็นนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปีเข้าไปด้วย
จับอาการของ วิษณุ เครืองาม ที่ชี้ประเด็นนี้วันก่อน แม้จะออกตัวคงไม่มีใครแก้ในเรื่องนี้ให้ แต่เค้าลางจากปมปัญหาแก้รัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมันชวนให้คิดได้ว่า นี่คือเกมการพลิกสถานการณ์ไม่ให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องติดกับดักรัฐธรรมนูญ ที่อุตส่าห์ลงมือเขียนเพื่อเอื้ออำนวยทุกอย่างให้อยู่กันยาว ๆ แต่ดันจะมาตายน้ำตื้นด้วยเรื่องนี้ ดังนั้น อย่าไปคิดว่าปัญหาจากบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และสูตรหาร 100 หรือ 500 จะไม่ไปเกี่ยวกับการแก้มาตรา 158 เรื่องเงื่อนเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้
อย่าลืมเป็นอันขาดไม่มีอะไรที่เนติบริกรศรีธนญชัยจะทำไม่ได้ เพียงแต่ว่ามันต้องอาศัยเล่ห์เหลี่ยมและความหน้าด้านมาใช้ในการที่ต้องแก้ไขเพื่อให้คนคนเดียวได้ประโยชน์แบบสุด ๆ แน่นอนว่าบรรดากองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตา พวกเลียอุ้งตีนเผด็จการย่อมเห็นดีเห็นงามด้วย แต่คงจะเกิดคำถามจากสังคมหนักหน่วง และไม่แน่ว่าอาจจะเกิดการลุกฮือของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็เป็นได้ เหมือนกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่งนั่นก็จะเข้าอีหรอบกงเกวียนกำเกวียนทางการเมือง
หากมีการดำเนินการเช่นนั้นจริง สังคมคงต้องช่วยกันตั้งคำถามไม่รู้สึกละอายใจที่ชอบอ้างกันมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจได้ผ่านการทำประชามติของประชาชน และเสียงส่วนใหญ่ให้การรับรองมาแล้วอย่างนั้นหรือ สิ่งสำคัญคือปมการกำหนดเงื่อนเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกฯ นั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญบันทึกในเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญต่อมาตรานี้ว่ากำหนดขึ้น “เพื่อป้องกันวิกฤตของประเทศ” ถ้ามีการแก้เพื่อฝ่าวิกฤตให้คนเพียงคนเดียว ถามว่ามันถูกต้อง ชอบธรรมอย่างนั้นหรือ ผู้สมอ้างว่าเป็นคนดีทั้งหลายคงต้องสำเหนียกในสิ่งเหล่านี้ให้มาก ๆ