3 เซียนมองหุ้นครึ่งปีหลัง

รายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ได้เชิญนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนรายใหญ่มาสัมภาษณ์ ถึงมุมมองตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง


ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา

รายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ได้เชิญนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ผู้จัดการกองทุน และนักลงทุนรายใหญ่มาสัมภาษณ์ ถึงมุมมองตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง

เริ่มจาก “กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน

กรภัทร บอกว่าตลาดหุ้นปีนี้เล่นยาก

สาเหตุเพราะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เช่น ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน

ทำให้ธนาคารกลางของแต่ละประเทศค่อนข้างมีมุมมองการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ค่อนข้างผิดเพี้ยนไป

คือเดิมคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยชั่วคราว

เพราะตัวแปรหลักที่กดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์เร่งขึ้นมา จากสถานการณ์โควิด

ดังนั้น เมื่อสถานการณ์โควิดดีขึ้น ภาพรวมก็น่าจะดีขึ้นตาม แต่กลายเป็นว่า มี Overshoot ของราคาโภคภัณฑ์โดยรวมเข้ามาเพิ่มเติม เพราะรัสเซีย-กับยูเครนเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีใครคาดถึง

ฉะนั้น เมื่อเกิดภาพแบบนี้ ในจุดที่นโยบายการเงินขยับไม่ทัน

“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.แล้ว เพราะนักลงทุนรู้ว่าเป็นปีที่ดอกเบี้ยขาขึ้นเริ่มมา หุ้นเติบโต P/E สูง เริ่มมีแรงขายออกมาก่อน แต่ช่วงที่เร่งขายที่ช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อที่ไม่ลง จึงต้องยอมรับว่า ภาพของการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นการกดดันสภาพคล่อง สภาพคล่องที่ถูกดึงกลับเร็วจะทำให้กำลังซื้อ และความเชื่อมั่นโดยรวมลดลง เป็นจุดที่ทำให้ตลาดอยู่ในช่วงของการค้นหาฐาน

“การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับที่เร่งตัว ส่วนหนึ่งเพื่อที่จะพยายามรักษาเสถียรภาพด้านราคา แสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางแต่ละประเทศเริ่มมองคล้ายกัน คือ ต้องคุมเงินเฟ้อให้อยู่ก่อน แล้วโฟกัสเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจน้อยลง”

กลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ คือ กลุ่มธนาคาร แนะนำ KBANK, BBL, KTB

ค้าปลีก แนะนำ CPALL, MAKRO, SNNP ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมัน ต้นทุนพลังงานที่ถูกลง และเติบโตไปกับกำลังซื้อ แนะนำ SCGP

หรือ หากมองแบบระยะยาว ชอบธุรกิจ AMC แนะนำ JMT

มาถึง “สุเมธา ลิ่วเฉลิมวงศ์” กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บลจ.คิงไว (เอเชีย)

สุเมธา มองว่า การลงทุนตั้งแต่ต้นปีนั้น “ยากมาก”

นั่นเพราะสินทรัพย์แต่ละอย่าง เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างปรับลง

หากไม่มีปัญหารัสเซีย-ยูเครนเข้ามาปีนี้ภาพรวมอาจดีกว่านี้ สิ่งที่ทำได้คือต้องรอจังหวะที่ตลาดรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นหมดแล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ปรับตัวกับสถานการณ์ได้ดี

ด้านครึ่งปีหลังการลงทุนในตลาดจะมีความน่าสนใจมากขึ้น

สาเหตุเพราะ ราคาที่ปรับลดลง ความชัดเจนของตลาดมีมากขึ้น

แต่ต้องไม่มีปัจจัยอะไรเข้ามาอีก ครึ่งปีหลังจะเห็นแสงสว่าง

และกลับมาดูการลงทุนอย่างจริงจังเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว

มีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบการลงทุน แต่ไทยมีโอกาสหลายอย่างโดยเฉพาะตลาดหุ้น ตลาดหุ้นหากเอาภาพความกลัวออกไป มองภาพเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัว การท่องเที่ยวที่กำลังจะกลับมา รวมถึงการฟื้นตัวของการบริโภคที่จะตามมา

ดังนั้น จึงเป็นภาพที่น่าลงทุนทั้งในไทย และจีน

ที่ผ่านมาอาจจะเห็นกองทุนเป็นฝั่งขายค่อนข้างมาก จากต้นปีมีแรงขาย LTF ออกมา

ขณะที่เศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวในครึ่งปีแรก กับปัจจัยดอกเบี้ยจึงทำให้กองทุนต่าง ๆ ชะลอการลงทุน

และรอจังหวะการลงทุนอยู่

เมื่อทุกอย่างถูกรับรู้ไปหมดแล้วก็จะเป็นจังหวะในการกลับเข้ามาลงทุน สำหรับการลงทุนของกองทุนจะมองที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก เน้นลงทุนระยะยาว

“เชื่อว่าหุ้นกลุ่มธนาคารที่ราคาระดับนี้ ขณะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ถือว่าน่าสนใจ”

ส่วนหุ้นค้าปลีก หากมองลึกลงไปก็จะเห็นโอกาสในการลงทุน ยิ่งปรับตัวลงไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้มีความมั่นใจในการเข้าไปลงทุนในระยะยาวได้ สำหรับหุ้นที่แนะนำนักลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร และท่องเที่ยว

มาถึง “เสี่ยป๋อง” วัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่

เสี่ยป๋อง มีมุมมองว่า หากย้อนไปตั้งแต่ช่วงต้นปี คาดหวังไว้ดีมาก

โดยส่วนตัวคาดจะเห็นดัชนีปีนี้ปิดที่ 1,800 จุด แต่ก็เกิดสถานการณ์การขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนขึ้น จึงทำให้หลายสิ่งพลิกผันจนเป็นจุดเร่งที่ทำให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศเข้ามาควบคุม

จนสะท้อนกลับมาที่ผล “กำไร-ขาดทุน” บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จึงเกิดเป็นเซนติเมนต์เชิงลบ

หากเทียบตลาดในช่วงก่อน และหลังโควิด

การลงทุนยากทุกสถานการณ์เพราะแต่ละสถานการณ์มีความแตกต่างกัน อยู่ที่นักลงทุนจะเลือกลงทุนอย่างไร

ฉะนั้น ต้องคอยตามไปเรื่อย ๆ

ที่ผ่านมาส่วนตัวมีการลดพอร์ตลงทุนมาตลอด คอยดูกราฟประกอบหุ้นรายตัว ถึงแม้หุ้นจะดี

แต่เทคนิเคิลเสียก็จะลดพอร์ตออกมา เพื่อรอจังหวะที่ซื้อได้ถูกกว่า

สำหรับคำแนะนำการลงทุนให้นักลงทุนดูภาพรวมทั้งปี มีวินัยในการลงทุน

กลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, โรงพยาบาล, สื่อสาร ซึ่งที่ผ่านมามีการแข่งขันสูง หากมีการลดจำนวนผู้แข่งขันลง อาจทำให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น

Back to top button