พาราสาวะถีอรชุน
สิ่งที่ซ่อนซุกไว้เริ่มชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ สิ่งที่บรรดาโฆษกกรธ.แถลงแต่ละวันอย่าได้เรียกว่าเป็นความคืบหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นเรื่องของความจริงของรัฐธรรมนูญที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะให้เป็นอย่างไรถูกเปิดเผยมาทีละเล็กละน้อย นับตั้งแต่เรื่องของระบบเลือกตั้งส.ส.ที่บอกแล้วว่าคนอย่าง มีชัย ฤชุพันธุ์ ออกมายืนยันด้วยตัวเองสองสามรอบย่อมไม่ธรรมดา
สิ่งที่ซ่อนซุกไว้เริ่มชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ สิ่งที่บรรดาโฆษกกรธ.แถลงแต่ละวันอย่าได้เรียกว่าเป็นความคืบหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญ หากแต่เป็นเรื่องของความจริงของรัฐธรรมนูญที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะให้เป็นอย่างไรถูกเปิดเผยมาทีละเล็กละน้อย นับตั้งแต่เรื่องของระบบเลือกตั้งส.ส.ที่บอกแล้วว่าคนอย่าง มีชัย ฤชุพันธุ์ ออกมายืนยันด้วยตัวเองสองสามรอบย่อมไม่ธรรมดา
ล่าสุดก็แบไต๋กันมาให้อีกชุดว่าด้วยประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่แถไถไปว่าจะต้องมาจากการเลือกของรัฐสภา ถือเป็นเพียงกระพี้เพราะความเป็นจริงที่จะต้องเขียนกันให้ชัดว่าคนที่จะเป็นผู้นำประเทศนั้นต้องเป็นส.ส.เท่านั้นหรือจะเปิดทางให้คนอื่นที่ไม่ได้ผ่านการเลือกของประชาชนเข้ามาดำรงตำแหน่ง แค่เท่านี้ก็เล่นลิ้นพลิกพลิ้วประหนึ่งว่าคนไทยนั้นโง่กันเต็มที
พวกที่เชื่อโดยดุษณีก็มีแต่กลุ่มที่ไปเป่านกหวีดและคนเบื้องหลังรวมทั้งพรรคการเมืองอีแอบเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมถนอมตัวเพื่อให้ดูดี คนอย่างมีชัยหากยังเหลือศักดิ์ศรีอยู่บ้างก็กล้าที่จะแสดงออกแบบตรงๆ รับใบสั่งมาอย่างไร เขียนไปอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ยุ่งยาก คนไทยพ.ศ.นี้แม้กระทั่งรากหญ้าเขารู้อะไรเป็นอะไรกันหมดแล้ว
ในเมื่อเขียนกฎหมายยกอำนาจยิ่งใหญ่ไว้ในมือผู้ที่ได้ชื่อว่าองค์รัฏฐาธิปัตย์ คงไม่ต้องมีเหตุอันใดจะต้องไปเหนียม กลัวว่าร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วจะไม่เป็นที่ยอมรับของต่างชาติ การใช้สีข้างเข้าถูอ้างว่าต้องให้เหมาะสมกับสังคมไทย ใครเขาก็รู้กันหมดแล้วว่าหน้าตาของกฎหมายสูงสุดจะออกมาอย่างไร ส่วนจะมีใครคบค้าสมาคมหรือไม่ก็ไม่ต้องแคร์ มิเช่นนั้นคงไม่เกิดวลีทองปิดประเทศ
ภาพสะท้อนของการพูดความจริงไม่หมดเริ่มมีให้เห็นบ่อยครั้งขึ้น เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงถึงการแสดงความยินดีกับการเลือกตั้งในพม่า พร้อมกับยกตัวอย่างว่า คนที่โน่นเขาตื่นตัวมาใช้สิทธิกันถึงร้อยละ 80 ขณะที่คนไทยออกมาลงคะแนนกันไม่ถึงร้อยละ 40 อยากจะบอกว่าแม้แต่เด็กอมมือมันยังรู้ว่าข้อมูลที่ท่านพูดถึงนั้นมันคือการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
ตัวเลขคนมาใช้สิทธิน้อยเพราะอะไรคงไม่ต้องสาธยาย ไม่ใช่เพราะม็อบอันธพาลที่ไปปิดหน่วยเลือกตั้ง ทำลายกระบวนการประชาธิปไตยหรอกหรือ จึงเป็นที่มาของการยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม หากย้อนกลับไปดูตัวเลขคนไทยต่อการตื่นตัวในการใช้สิทธิเลือกตั้งต้องไปดูก่อนหน้านั้น แม้กระทั่งหลังการรัฐประหาร 2549 ประชาชนไปใช้สิทธิกันไม่เคยต่ำกว่าร้อยละ 70
หากเป็นนักการเมืองก็พอจะกล่าวหาได้ว่า เลือกเอาแต่ส่วนเสียมาพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่นี่ท่านเป็นถึงผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาด หากต้องการจะปฏิรูปและทำให้เกิดความปรองดอง ต้องกล้าที่จะพูดถึงปัญหาและความสามานย์ของขบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนทำให้ระบอบประชาธิปไตยและระบบการเลือกตั้งของประเทศเสียหายย่อยยับ
อุปสรรคสำคัญสำหรับถนนสายปรองดองที่ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญสำนักไหนเห็นตรงกันนั่นก็คือ ทุกฝ่ายต้องกล้าที่จะพูดและยอมรับความจริงของเหตุการณ์ความขัดแย้งนั้นๆ ที่เกิดขึ้น แต่เท่าที่ดูมาจนถึงเวลานี้ จากแรกเริ่มที่บอกว่าเป็นกลางและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย จะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ตราบใดที่ตราชั่งเอียง กรรมการไม่เป็นกลาง เมื่อนั้นก็อย่าฝันถึงความสามัคคี
แปลกดีเหมือนกันที่ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เราเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงในพม่า มีแต่รัฐบาลทหารสั่งการปราบปรามประชาชนและออกคำสั่งวางข้อกำหนดนู่นนี่นั่น มาวันนี้กลายเป็นว่า ออง ซาน ซูจี ที่กำลังนำพาพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดีชนะการเลือกตั้ง ทำหนังสือเชิญผู้นำรัฐบาลทหารพม่าและบุคคลที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือ
สาระสำคัญของหนังสือที่ออง ซาน ซูจี ทำถึงประธานาธิบดีเต็ง เส่ง, พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพพม่า และ ฉ่วย มานน์ ประธานรัฐสภาพม่าก็คือ เพื่อทำให้ความต้องการของประชาชนเกิดผลในทางปฏิบัติ ตามที่พวกเขาแสดงออกผ่านการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นไปอย่างสันติและมีความสำคัญอย่างแท้จริงต่อความมีศักดิ์ศรีของชาติเราและความผาสุกของพลเมือง
ด้วยเหตุนี้ ดิฉันขอเรียนเชิญพบท่านประธานาธิบดี ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดและท่านประธานรัฐสภา เพื่อหารือถึงกระบวนการปรองดองแห่งชาติ เพื่อทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น นี่คืออาวุธสำคัญของคนประชาธิปไตยที่ใช้ความอดทนต่อสู้อย่างสันติมาตลอดระยะเวลา 25 ปี แม้จะถูกกระทำต่างๆ นานาแต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเดินไปข้างหน้าก็เลือกที่จะพูดคุยตามครรลองที่ควรจะเป็น
แม้เบื้องต้นจะมีเสียงตอบรับมาแค่ประธานรัฐสภาพม่า แต่เข้าใจว่าอีกสองรายก็ไม่น่ามีปัญหา น่าสนใจว่าแสงสีทองจะผ่องอำไพได้หรือไม่ในดินแดนแห่งนี้ แต่ก็ยังดีกว่าบางประเทศที่เคยได้ชื่อว่าผู้นำด้านการพัฒนาประชาธิปไตยในภูมิภาค ที่นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าประชาธิปไตยจะออกหัวหรือก้อย จะถอยหลังเข้าคลองหรือก้าวไปข้างหน้า ทว่าหลายฝ่ายหวั่นใจกลัวว่าจะเป็นอย่างแรก
เป็นเรื่องจนได้การสาวไส้เรื่องความไม่ชอบมาพากลของการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยเฉพาะการหล่อพระบรมรูปบูรพกษัตริย์ 7 พระองค์ ที่มีข่าวการเรียกรับหัวคิวกันด้วยตัวเลข 8 หลัก ซึ่งสื่อได้ตีแผ่กันไปอย่างกว้างขวาง จน พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยกลาโหมในฐานะอดีตผู้บัญชาการทหารบกที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ต้องออกมายอมรับว่าเป็นเรื่องจริง
โดยบิ๊กโด่งบอกว่าได้สั่งการให้คนที่เรียกเงินนำไปบริจาคทั้งหมดแล้ว โดยยินดีที่จะชี้แจงทุกเรื่องทุกประเด็น เป็นคำถามตามมาว่า แค่เท่านี้แล้วจบเลยหรือ การเรียกรับหัวคิวในโครงการอันเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจของคนไทยทั้งประเทศ ถือว่าความผิดสำเร็จแล้วหรือไม่ ความรับผิดชอบมันไม่น่าจะจบที่แค่นำเงินไม่บริสุทธิ์ไปบริจาคแล้วจบกัน แต่ควรจะมีบทสรุปอย่างไรเชื่อว่าคนอย่างบิ๊กตู่และบิ๊กๆ ทั้งหลายในรัฐบาลและคสช.น่าจะรู้อยู่แก่ใจ