โดนขยี้หนัก
ก่อนอื่นต้องบอกกับแฟนคลับขาลุยทุกคนว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติ มักมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเป็นประจำ
ก่อนอื่นต้องบอกกับแฟนคลับขาลุยทุกคนว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติ มักมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้หุ้นไทย “ขึ้นแรง” และ “ลงแรง” ชนิดที่ขัดใจพ่อยกแม่ยกอย่างหนัก “โมนิก้า” ถึงมองเหตุการณ์ที่ดัชนีทรุดตัวลงไปถึงระดับ 1,606.09 จุด ก่อนจะตีกลับมาปิดที่ระดับ 1,617.21 จุด ลบไป 1.59 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6.71 หมื่นล้านบาท คือเรื่องปกติในยามที่ทุกอย่างยังฝุ่นตลบไงล่ะคะ
ถามว่าเรื่องราวที่ยังทำให้ฝุ่นตลบมีอะไรบ้าง? “โมนิก้า” บอกได้เลยว่า มีหลายเรื่องจริง ๆ แต่ที่เดี๊ยนเป็นห่วงมากสุดคือ ขึ้นดอกเบี้ย! เพราะมันทำให้เกิดการโยกเงินทุนออกจากตลาดหุ้นเป็นช่วง ๆ และทุกครั้งที่มีประเด็นนี้เกิดขึ้นทีไร ตลาดหุ้นไทยมักโดนขยี้แบบไม่ปราณีทุกที และมักจะปรากฏชื่อของฝรั่งหัวทองกลายเป็นผู้ขายสุทธิเป็นประจำ จนกลายเป็นเกมหลอกไปทุบในที่สุดนะจะบอกให้
ผนวกกับข้ออ้างเรื่องเงินเฟ้อยังมีมนต์ขลังอยู่ร่ำไป จึงส่งผลให้การขยับตัวของดัชนีขึ้นมายืนเหนือ 1,600 จุด กลายเป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันยาวขึ้นมากเป็นพิเศษ เพราะไม่รู้ว่า การแก้ปัญหาเงินเฟ้อจะสะเด็ดน้ำเมื่อไหร่? และบริษัทจดทะเบียนจะหาทางแก้แบบูรณาการได้อย่างไร? และกลายเป็นประเด็นที่ตามหลอกหลอนบรรยากาศการลงทุนไม่จบไม่สิ้น บวกกับตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับ sell on fact เลยทำให้หลายอย่างเละอีกรอบเจ้าค่ะ
ขนาดหุ้นควงเจริญ KCE ทำท่าจะฟื้นอย่างจริงจังอีกรอบ พอมีเรื่องกำไรไตรมาส 2 ลดลง ราคาหุ้นก็ร่วงผล็อยในทันที แถมวานนี้โดนกระทืบซ้ำด้วยบรรยากาศลงทุน ราคาหุ้นเลยทิ้งดิ่งลงมาปิดที่ 57.50 บาท ลบไป 5 บาท หรือลงไป 8% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.72 พันล้านบาทแบบสยดสยอง และกลายเป็นหุ้นที่นักเล่นควรอยู่ห่าง ๆ เป็นการชั่วคราว เพราะไม่รู้ว่า ตัวเลขกำไรไตรมาส 3 จะลดลงขนาดไหนน่ะซี
สำหรับในรายของ MTC ก็อยู่ในข่ายหุ้นกำไรโต แต่มีเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นกวนใจ จึงส่งผลให้ราคาหุ้นทรุดหนักแบบไม่ทันตั้งตัว จนสุดท้ายหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 47.50 บาท ลบไป 3.50 บาท หรือลงไป 6.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.14 พันล้านบาท ก็เป็นเกมที่ค่อนข้างเดาทางยาก เพราะในมุมของนักวิเคราะห์ก็ยังเชียร์ให้เล่น แต่ในมุมของความจริงกลับโดนถล่มหนัก จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจยากเหลือเกินนะจ๊ะ
ส่วนรายที่ซวยสองเด้งจากเรื่อง “ผลงาน” กับขึ้นเครื่องหมาย “XD” คงต้องโฟกัสไปที่หุ้นปูนใหญ่ SCC มากเป็นพิเศษ เพราะสถานการณ์ของตัวธุรกิจไม่ค่อยดีเอาเสียเลย แถมไตรมาส 3 ก็ยังไม่รู้ว่าจะลูกผีลูกคน “โมนิก้า” ถึงสงสัยว่า การยืนปิดที่ระดับ 365 บาท ลบไป 4 บาท หรือลงไป 1.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 919 ล้านบาท อาจเป็นการลงรอบใหม่ของหุ้น และมีสิทธิ์ลงไปถึงโลว์เดิมที่บริเวณ 355 บาทนะนายจ๋า!
เรื่องข้างต้นช่างตรงข้ามกับสถานการณ์ของ RBF อย่างสิ้นเชิง เพราะผลงานไตรมาส 2 ออกมาสวย และไตรมาสถัดไปน่าจะดูดีอีกเช่นกัน “โมนิก้า” จึงสงสัยการทรุดตัวลงมาปิดที่ระดับ 12.80 บาท ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 4.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 147 ล้านบาท น่าจะมีอะไรบ้างอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ไม่รู้ก็เป็นไปได้ จึงต้องรอดูต่อไปว่า เที่ยวนี้จะโดนบดหนักจนลงไปถึงโลว์ก่อนที่บริเวณ 11.40 บาทหรือเปล่า?..ถ้าถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีนะคะ
ส่วนรายที่ทำให้ขาเล่นงงเป็นไก่ตาแตก “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้น OTO หลังมีมือดีสวมบทโหดทุบหุ้นแบบไม่มีเยื่อใย จนราคาหุ้นลงมากองปิดโลว์ที่ระดับ 12.20 บาท ลบไป 5.20 บาท หรือลงไป 30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2 พันล้านบาท ถือเป็นจุดที่ทำให้ขาเผือกอยากรู้เหลือเกินว่า เจ้ามือทำไมโหดป่านนี้! เพราะหลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามแผนงาน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาทำไมถึงเป็นจั๊งซี่!
คล้ายกับสถานการณ์ของ PIMO จู่ ๆ ก็โดนทุบพรวดเดียวลงมาปิดโลว์ที่ระดับ 3.54 บาท ลบไป 0.48 บาท หรือลงไป 11.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 218 ล้านบาท พร้อมกับมีเสียงร่ำลือตามหลังมาว่า จบงาน! มันหมายถึงคนที่เข้าไปรับหุ้นต้องเลือกสักทางว่า จะเอาอย่างไรกับชีวิตใช่ไหม? และประเด็นนี้ก็ทำให้ “โมนิก้า” เข้าใจในสัจธรรมเรื่อง “เกมหุ้น” มากขึ้นไปอีกขั้นนะจะบอกให้