การกลับมาของหุ้นน้ำแข็งใส
ผ่านมาแค่ครึ่งปีแรกก็ทำได้เกินเป้าแบบนี้ ค่าพี/อีเท่าใด ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย จุดสำคัญที่นักลงทุนที่คิดจะถือหุ้นต้องตามต่อไปคือการจ่ายปันผล
บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU มีรายได้จากการขายเท่ากับ 230 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2565 และ 428 ล้านบาทในงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 จากไตรมาส 2 ปี 2564 และร้อยละ 35 จากในงวด 6 เดือนแรกปี 2564 ตามลําดับ ยอดขายที่กลับมารวดเร็ว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
ถึงแม้ว่ากำไรที่สวยงามจะช่วยให้ค่าพี/อีของหุ้นลดลงเหลือ 163 เท่า ซึ่งในมุมมองของนักเล่นพื้นฐานถือว่าแพงเกินสมควร
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายของบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของยอดขายร้านสาขาขายขนม ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มากที่สุด ทั้งนี้ การเติบโตของพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มกลับมารับประทานของหวานนอกบ้านมากขึ้นประกอบกับจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับมา
กําไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ปี 2565 และในงวด 6 เดือนแรก ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 91 จากไตรมาส 2 ปี 2564 และร้อยละ 46 จากในงวด 6 เดือนแรกปี 2564 สอดคล้องกับรายได้จากการขายที่ปรับตัวสูงขึ้น
อัตรากําไรขั้นต้นในไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ร้อยละ 63.9 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 56.2 ในไตรมาส 2 ปี 2564 และในงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ที่ร้อยละ 62.4 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57.7 จากในงวด 6 เดือนแรกปี 2564
การเพิ่มขึ้นของอัตรากําไรขั้นต้นมีสาเหตุหลักมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของสัดส่วนยอดขายของร้านขนม ที่สูงกว่ากำไรจากสินค้า ซื้อกลับบ้านและบริการส่งอาหาร
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกําไรปรับราคาเพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบยอดตั้งแต่เดือน มีนาคม
ส่งผลให้กำไรก่อนหักภาษีและต้นทุนการเงินก้าวกระโดดขึ้นโดยที่ EBITDA ของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ปี 2565 และ ในงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 152% จากไตรมาส 2 ปี 2564 และร้อยละ 58% จากในงวด 6 เดือนแรกปี 2564 สอดคล้องกับกําไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น
บริษัทฯ ระบุว่า ผลกําไรสุทธิ ในไตรมาส 2 ปี 2565 และ ในงวด 6 เดือนแรกปี 2565 มีมูลค่า 34 ล้านบาท และ 49 ล้านบาท ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 586 จากไตรมาส 2 ปี 2564 และร้อยละ 1,125 จากในงวด 6 เดือนแรกปี 2564 ตามลำดับ สอดคล้องกับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
อัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ร้อยละ 14.5 จากอัตรากําไรสุทธิที่ติดลบร้อยละ 5.1 ในไตรมาส 2 ปี 2564 และในงวด 6 เดือนแรกปี 2565 ที่ร้อยละ 11.3 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากอัตรากําไรสุทธิที่ร้อยละ 1.3 จากในงวด 6 เดือนแรกปี 2564 การปรับตัวเพิ่มขึ้นที่โดดเด่น เกิดจากยอดขายที่เพิ่มยังได้รวมถึงควบคุมค่าใช้จ่ายโดยรวมอย่างดีเยี่ยม
ภาพโดยรวมของการกลับมาทำกำไรโดดเด่น ทำให้ AU ซึ่งเป็นบริษัทการตลาดจำพวกของหวานขนาดเล็กมาก (ทุนจดทะเบียนล่าสุด 81.56 ล้านบาท) แต่มีส่วนผู้ถือหุ้นเกือบ 1 พันล้านบาท เป็นที่รู้จักว่าเป็นหุ้น “น้ำแข็งใส” ที่มีค่าพี/อี ตั้งแต่ขายหุ้นจองแพงลิ่วเกิน 100 เท่า และจนจะผ่านมาเกือบ 2 ปีตั้งแต่เข้าเทรดในตลาด MAI ก็ไม่เคยมีค่าพี/อีต่ำกว่า 50 เท่าเลย
ดูเฉพาะค่าพี/อีอย่างเดียว เมินเฉยหุ้นตัวนี้จากสายตาไกลได้เลย แต่ถ้าหากดูผลประกอบการและความสามารถทำกำไร (อัตรากำไรสุทธิ) กลับตรงกันข้าม
AU คือหุ้น growth stock ที่น่าจับตาอย่างมากเพราะเหตุผลว่า แรกสุดผู้บริหารขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายและกำไรต่อเนื่องไม่มีหยุด เข้าข่าย Let Profit Run โดยที่สามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิเหนือ 15% ต่อเนื่อง ไม่เหมือนบริษัททางการตลาดหลายแห่งที่ยิ่งยอดขายมาก อัตรากำไรสุทธิกลับดิ่งเหวน่าใจหาย เพราะการตลาดที่ผิดพลาด
ประการสุดท้าย โดดเด่นกว่าอย่างแรกด้วยซ้ำ เพราะกลยุทธ์การตลาดของ AU มีหลากหลายจับทางยาก ชนิดครบเครื่องเลยทีเดียว สามารถมองเห็นล่วงหน้าถึงสตอรี่ในการรุกที่ยืดหยุ่น สมกับเป็นนักการตลาดรุ่นใหม่ที่อายุไม่ได้บอกประสบการณ์และความช่ำชองในการทำธุรกิจ
ภาพความครบเครื่องของการตลาด AU จากนี้ไป เห็นได้จากการแถลงแผนธุรกิจครึ่งหลังปีนี้ของผู้บริหารคนสำคัญ นายแม่ทัพ ต.สุวรรณ กรรมการผู้จัดการ เมื่อต้นปีที่กล่าวถึงการตั้งเป้ายอดขายของ AU ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 735.38 ล้านบาท เป็นไปตามการขยายสาขาภายใต้แบรนด์ อาฟเตอร์ ยู ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแผนการขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ไปยังต่างประเทศ และ การทำสิ่งที่เรียกว่า co-branding ที่ถือว่าน่าสนใจยิ่ง
การรุกทางการตลาดที่มีทั้ง same store branches, franchising, และ co-branding ครบเครื่อง ต้องการความพร้อมในการบริหารจัดการอย่างมาก เพราะในข้อเด่นคือสามารถปิดจุดอ่อนทางการตลาดของกลยุทธ์เดี่ยวได้สนิท
ผ่านมาแค่ครึ่งปีแรกก็ทำได้เกินเป้าแบบนี้ ค่าพี/อีเท่าใด ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
จุดสำคัญที่นักลงทุนที่คิดจะถือหุ้นต้องตามต่อไปคือการจ่ายปันผล ปลายปีนี้จะอู้ฟู่แค่ไหน
ตรงนี้คือมูลค่าของการลงขันทางการเงินที่วัดใจผู้บริหารได้ชัดเจน เพราะถ้าประเมินจากจุดหลังสุดนี้ ราคาและค่าพี/อีของ AU ใต้ 10.00 บาท ไม่ถือว่าแพง
สำคัญที่ความเชื่อมั่นจะเอาชนะความสงสัยได้หรือไม่ เท่านั้นเอง