อริยสัจอุปถัมภ์
หนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่รอดแค่เรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนคำวินิฉัย แต่เรื่อง 8 ปีจะยังคงนั่งเก้าอี้นายกฯ ต่อได้หรือไม่ ยังรอลุ้นอีกที
คำว่า “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ที่พล.อ.ประยุทธ์นำมากล่าวให้ประชาชนไปศึกษาตอนตัดสินใจขึ้นค่าไฟ แท้จริงแล้วก็คืออริยสัจ 4 ธรรมะชั้นสูงของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
“ทุกข์” ก็คือ ความยากลำบาก ความเดือดร้อน ความไม่สบายทั้งกายและใจ ส่วน “สมุทัย” ก็คือเหตุแห่งทุกข์ “นิโรธ” คือการดับทุกข์ และ “มรรค” ก็คือทางแห่งการดับทุกข์
“ทุกข์” ที่เกี่ยวกับค่าไฟฟ้า ก็คือ ราคาแพง ส่วน “สมุทัย” ก็คือเหตุจากราคาเชื้อเพลิงแพง “นิโรธ” คือการเลิกใช้ไฟฟ้า และ “มรรค” ก็คือไม่ถึงกับเลิกใช้ไฟฟ้า แต่ให้ปรับขึ้นมาพอรับได้ จากหน่วยละ 4 บาทเป็น 4.72 บาทกระนั้นหรือ
เป็นงงอ้ะ! ถอดความให้ใกล้เคียงกับคำพูด มันก็ได้แค่นั้นจริง ๆ ถอดความเสร็จก็ยังสงสัยอยู่กรุ่น ๆ ว่า มันเกี่ยวอะไรกันเนี่ย : อริยสัจ 4 กับการขึ้นค่าไฟ
เป็นคนละเรื่องเดียวกัน! นายกฯ เขาก็เป็นอย่างนี้มา 8 ปีเต็มแล้วล่ะ คงต้องไปพักหน่อย ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากหน้าที่ เนื่องจากดำรงตำแหน่งมาครบ 8 ปีแล้ว
หรือจะมีอภินิหารกฎหมายให้ไปต่อได้อีก 3 ปีหรือ 5 ปีตามลำดับ คงจะได้รู้ผลพัก “ชั่วคราว” หรือ “ถาวร” ภายในเดือน กันยาฯ ศกนี้
ต้องอย่าลืมว่า พล.อ.ประยุทธ์มีอภินิหารกฎหมายมาช่วยให้รอดได้มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 กรณี
กรณีแรก ถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ก็รอดได้ โดยศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง
กรณีที่ 2 วินิจฉัยคุณสมบัติพล.อ.ประยุทธ์เป็น “เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามของผู้ดำรง
ตำแหน่งหรือไม่ ศาลฯ วินิจฉัย “ตำแหน่งหัวหน้าคสช.ไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ” พลอ.ประยุทธ์ก็รอดอีก
กรณีที่ 3 การขัดกันแห่งผลประโยชน์กรณี “อาศัยบ้านหลวง” แม้เกษียณฯ ไปแล้ว 6 ปี ศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยอีกว่า “ไม่ขาดคุณสมบัติ”
หนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่รอดแค่เรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ก่อนคำวินิฉัย แต่เรื่อง 8 ปีจะยังคงนั่งเก้าอี้นายกฯ ต่อได้หรือไม่ ยังรอลุ้นอีกที
เรื่อง “ระบบอุปถัมภ์กับพล.อ.ประยุทธ์” นี่ก็อาจจะถือเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกับเรื่อง “อริยสัจ 4 กับค่าไฟ”
เพราะเรื่องของสตท.เจ๊นุชกระทำทารุณกรรมทหารรับใช้ก็เกิดขึ้นในสมัยพล.อ.ประยุทธ์ (ตั้งแต่ปี 60) นับเป็นการแสดงออกถึงระบบอุปถัมภ์อันเน่าเฟะอย่างถึงแก่นในระบบราชการไทยได้เป็นอันดีเลยทีเดียว
“เจ๊นุช” เข้าใจว่าเป็นนามสมมุติ เข้ารับราชการเมื่ออายุเกินเกณฑ์ 35 ปีแล้ว ได้รับการยกเว้นมาได้อย่างไรก็มั่วซั่วเต็มที รองโฆษกตำรวจ ก็ตอบได้หน้าตาเฉยว่าเป็นตำแหน่งนักบัญชีที่ขาดแคลน โถ! ความรู้แค่ปวศ.นี่นะ
สตท.เจ๊นุช ยังสามารถฝากน.ส.บีให้มาเป็นสิบโททหาร มารับใช้ตัวเองได้อีก นี่ถือว่า “ประหลาดซ้ำสอง” เลยทีเดียว
ตำรวจชั้นประทวน มีทหารชั้นประทวนมารับใช้ตนเองได้ด้วยแฮะ
ป่านนี้ ผมว่าพล.ต.ท.สุรเชษฐ หักพาล ก็คงจะรู้แล้วล่ะว่า สว.คนไหนเป็นกิ๊กกับเจ๊นุช นายพลคนไหน เป็นผู้ใหญ่ฝากฝังเจ๊นุชแบบผิดระเบียบ และเจ๊นุชยังฝากเด็กของตนมาเป็นสิบโททหารกับใคร
เพียงแต่จะเปิดเผยหมดเปลือกแค่ไหนและเมื่อไหร่เท่านั้น
หากไม่มีกรณีทารุณกรรมขึ้นมา เรื่องราวฟอนเฟะของระบบอุปถัมภ์ในวงราชการ ก็คงจะเก็บงำอำพรางกันไว้เงียบ ๆ ในรั้วทหารและกรมตำรวจ
ความเน่าเฟะในระบบอุปถัมภ์เช่นนี้ ไม่มีทางแก้ไขได้หรอกในระบบบริหารงานแบบพล.อ.ประยุทธ์…
ผู้เป็นต้นแบบแห่งการละเมิดทุกกฎ แม้กระทั่งกฎที่ตนเองเป็นผู้ตราขึ้นมา