จับตาอนาคต TAKUNI หลังกลุ่ม ‘ตรีวีรานุวัฒน์’ ขาย

งานนี้กลุ่ม “ตรีวีรานุวัฒน์” จะทยอยขายหุ้นที่เหลืออยู่ออกมาอีกหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือใครคือคนซื้อ และซื้อแล้วจะเอาไปทำอะไร


เส้นทางนักลงทุน

ไม่น่าแปลกใจเมื่อปรากฏข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งชี้แจงโดยบริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ถึงรายการซื้อขายหุ้นของบริษัท ผ่านระบบการซื้อขายบนกระดานรายใหญ่ (Big Lot Board) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา จำนวน 20% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วของบริษัท เพราะถือว่าเป็นไปตามคาดและตามข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่ว ว่า “กลุ่มตรีวีรานุวัฒน์” จะถอยด้วยการขายหุ้นออก

Big Lot ในรอบนี้เป็นรายการที่เกิดจากการขายหุ้นของผู้ถือหุ้น 2 ราย คือ “ประเสริฐ ตรีวีรานุวัฒน์” ขายออก 10% และ “นิตา ตรีวีรานุวัฒน์” ขายออก 10% เช่นกัน ในราคาเฉลี่ยเท่ากัน คือ 2.60 บาท รับเงินรวมกัน 416 ล้านบาท

พร้อมทั้งระบุว่าเป็นการขายให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยทั้งสิ้นจำนวน 15 ราย โดยแต่ละรายทำรายการเข้าซื้อหุ้นไม่เกิน 5% และไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง หรือเป็นบุคคลเกี่ยวโยงกับคณะกรรมการบริษัท และภายหลังทำรายการแล้ว “ประเสริฐ” จะถือหุ้น TAKUNI เหลือสัดส่วน 6.18% ส่วน “วนิดา” เหลือสัดส่วน 9.08%

รวมทั้งยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในครั้งนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการจัดการ การกำหนดนโยบายบริษัท การประกอบธุรกิจ และอำนาจในการบริหารจัดการแต่อย่างใด แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีนัยสำคัญ ก็จะเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยทันที

ประเสริฐ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ก่อนขายหุ้นออกครั้งนี้ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 จำนวนกว่า 129.47 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 16.18%

ส่วน “นิตา” บุตรสาว ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 กว่า 152.61 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 19.08%

ในช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดไปทั่ววงการตลาดหุ้นว่า “ประเสริฐ จะขายหุ้นออกให้กับกลุ่มทุนใหญ่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะเทกโอเวอร์ เข้าแบ็กดอร์ จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ TAKUNI ในราคา 2 บาท

ซึ่ง 2 พ่อ-ลูก ทั้งประเสริฐ” และ “นิตา” ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และจะไม่ขายที่ราคา 2 บาท เพราะถูกเกินไป โดยจะขายเมื่อได้ราคาดี

แต่หลังจากนั้นไม่นาน “ฐากูร ตรีวีรานุวัฒน์” ผู้เป็นบุตรชาย ก็ขาย Big Lot ที่ถือโดย “เครดิตสวิสฮ่องกง” ซึ่งเป็นคัสโตเดียนออกมาปริมาณ 128.68 ล้านหุ้น คิดเป็น 16.09% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว มีมูลค่ารวม 308.84 ล้านบาท จากราคาเฉลี่ย 2.40 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่าราคาในกระดานซื้อขายในวันเดียวกันที่ 2.76 บาทต่อหุ้น เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 เป็นการขายให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อยไม่ต่ำกว่า 10 รายเช่นกัน

แม้ “กลุ่มตรีวีรานุวัฒน์” จะขายหุ้นออกมาแล้วจริง ๆ แต่งานนี้ข่าวลือยังไม่จบ และยังลือสะพัดกันต่ออีกว่า กลุ่มผู้ขายหุ้นจะถูกฟ้องร้อง เพราะการขายหุ้นครั้งนี้มีการปาดหน้าเค้ก เนื่องจากได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้กับอีกกลุ่มหนึ่งแล้วที่ราคา 2 บาท แต่เมื่อมีอีกกลุ่มมาเจรจาให้ราคาสูงกว่าที่ 2.40 บาท และ 2.60 บาท สัญญาจึงไม่เป็นไปตามสัญญา หุ้นถูกยกกลับมาขายให้ฝ่ายที่ให้ราคาดีกว่านั่นเอง

งานนี้แวดวงตลาดหุ้นยังลือกันไปถึงฝั่งผู้ซื้ออีกด้วยว่า ไม่น่าจะเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวน 15 ราย อย่างที่พูด ๆ กัน และสุดท้ายหุ้นน่าจะไหลไปรวมกันที่เจ้ามือใหญ่รายเดียว

สิ่งที่ต้องจับตามองสำหรับ TAKUNI ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquid Petroleum Gas : LPG) และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวในลำดับถัดไปก็คือ พ่อ-ลูก ”ประเสริฐนิตา ตรีวีรานุวัฒน์” จะขายหุ้นส่วนที่เหลือออกมาจนเกลี้ยงพอร์ตหรือไม่

และผู้ซื้อตัวจริง ซึ่งในแวดวงตลาดหุ้นเรียกขายด้วยตัวย่อว่า “สภอ” จะแปลงร่าง TAKUNI ไปเป็นอะไรภายหลังเข้ามาถือหุ้นใหญ่รับ Big Lot จาก “กลุ่มตรีวีรานุวัฒน์” รวม 36.09%

มีข่าวแว่ว ๆ มาว่าน่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ใหม่ ๆ หรือเกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งหากเป็นจริงอย่างที่ลือ ๆ กัน ก็นับว่าเป็นโอกาส เพราะเทรนด์นี้กำลังมา และรัฐบาลก็ให้การสนับสนุน ขณะที่ผู้เล่นในตลาดยังมีไม่กี่ราย หากประสบความสำเร็จผู้ถือหุ้นรายเล็กรายน้อยของ TAKUNI น่าจะได้ประโยชน์ไปด้วย จากราคาหุ้นซึ่งน่าจะปรับตัวดีขึ้น

ณ วันที่ 18 มีนาคม 2565 TAKUNI มีฐานผู้ถือหุ้นเป็นนักลงทุนรายย่อย 3,392 ราย ถือหุ้นรวมกัน 48.39% ขณะที่ราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่แถว ๆ 2 บาทปลาย ๆ ไปจนถึง 3 บาทกว่า ๆ

TAKUNI เคยเป็นหุ้นที่ติดอันดับหัวแถวของ Trading Alert ซ้ำซากของตลาดในปี 2558 สามารถเพิ่มความมั่งคั่งเป็นกอบเป็นกำจากการเล่นรอบให้กับนักลงทุนมาแล้วในช่วงนั้น ที่ราคาหุ้นเคยขึ้นไปสูงสุด 13 บาท จากนั้นราคาหุ้นก็ตกต่ำกลายเป็นหุ้นหลัก 1-3 บาท

ดังนั้น งานนี้กลุ่ม “ตรีวีรานุวัฒน์” จะทยอยขายหุ้นที่เหลืออยู่ออกมาอีกหรือไม่ …ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ…ใครคือคนซื้อ และซื้อแล้วจะเอาไปทำอะไร สามารถสร้างความมั่งคั่งยั่งยืนให้สะท้อนผ่านราคาหุ้น TAKUNI ได้หรือไม่ นี่สิ…สำคัญกว่า

Back to top button