พาราสาวะถี

เมื่อทิศทางการเมืองเป็นตัวกำหนดการทำงาน การนั่งเก้าอี้รักษาการนายกฯ แทนน้องเล็กครั้งนี้ จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ


คนไทยจะต้องเข้าใจผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจกันด้วยว่า เหตุผลที่ไม่ยอมลาออกอันเนื่องมาจากความเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปีแล้ว หากนับย้อนกลับไปตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2557 ไม่ใช่เพราะทุกอย่างต้องว่ากันตามกฎหมาย รอให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดประสาคนที่โพนทะนาว่ายึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญเท่านั้น หากแต่ถ้าจำกันได้ท่านผู้นำเคยประกาศไว้ว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ถ้าไม่มีตนเป็นนายกฯ อันหมายถึงว่ายังไม่มีใครดี ใครเก่ง มีความสามารถสูงเท่าตัวเองที่จะมาบริหารประเทศได้

ด้วยเหตุนี้จึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนแม้จะมีกระแสเสียงเรียกร้องทั่วสารทิศให้แสดงสปิริตเพื่อความสง่างาม อย่างไรก็ตาม กระบวนการเพื่อวินิจฉัยในชั้นของศาลรัฐธรรมนูญ จากวันที่มีมติรับคำร้องของพรรคร่วมฝ่ายค้านไว้วินิจฉัย และมีมติให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยนั้น เข้าใจกันว่าเนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วนศาลน่าจะใช้เวลาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้ แต่ล่าสุดมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

ระยะเวลาที่จะใช้ในการพิจารณาเรื่องนี้น่าจะยืดออกไปไม่น้อยกว่า 2 เดือน จึงมีการไปค้นหาเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น หากเป็นไปตามนี้เกรงว่าจะทำให้องค์กรอิสระแห่งนี้เสียหายในแง่ของความน่าเชื่อถือหนักเป็นอย่างยิ่ง โดยหากการตัดสินเรื่องร้องของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปจบหลัง 21 ตุลาคมที่จะถึงนี้ นั่นหมายความว่า มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 1 ใน 5 ของเสียงข้างมากที่มีมติให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหยุดปฏิบัติหน้าที่จะเกษียณอายุในวันดังกล่าว

ถ้ามีการยื้อกระบวนการวินิจฉัยไปจนถึงหลัง 21 ตุลาคม เมื่อยึดตามมติที่ให้มีการหยุดปฏิบัติหน้าที่แล้วมีผลต่อการตัดสินคดีที่เป็นตัวหลัก คือ ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ในตำแหน่งมาเกิน 8 ปีแล้วหรือไม่ เสียงที่ออกมาก็จะเป็น 4 ต่อ 4 เมื่อเป็นเช่นนั้นการตัดสินชี้ขาดก็จะใช้เสียงของประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อย้อนกลับไปดูมติให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็จะพบว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญก็คือ 4 เสียงข้างน้อยนั่นเอง แต่เหล่านี้มันก็คือข่าวที่วิเคราะห์กันไป สุดท้ายก็ต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาในการพิจารณาเร็วหรือช้าอย่างไร

แต่เวลานี้สิ่งที่ต้องช่วยกันติดตามคือ การปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกฯ ของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ซึ่งในสัปดาห์นี้น่าจะได้เห็นว่าจะทำงานในตำแหน่งนี้ออกมาในรูปแบบใด ไม่แตะต้องเรื่องสำคัญอะไรเลยเพราะเกรงใจน้องเล็ก เป็นการทำงานแบบรอเวลา หรือว่าจะบริหารแบบเร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ที่พอมองเห็นภาพคือ การยกหูหา ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ในการให้กำลังใจต่อการทำงาน และพร้อมที่จะส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยเพื่อเตรียมการรับมือน้ำท่วมในเมืองหลวง

การทำงานในลักษณะนี้ ถ้าเกิดขึ้นกับทุกเรื่องก็จะเป็นเหมือนการลองงาน สร้างผลงานให้ประชาชนได้ช่วยตัดสินใจว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าหากพรรคสืบทอดอำนาจไม่มีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกฯ โดยมีเพียงพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เป็นตัวชูโรง พอจะเป็นทางเลือกได้หรือไม่ ขณะเดียวกันหากทำงานเพื่อประคองสถานการณ์ เกรงใจน้องเล็ก กองเชียร์พรรคแกนนำรัฐบาลก็มองกันว่า แบบนั้นหลังเลือกตั้งพรรคก็จะเป็นเพียงแค่พรรคขนาดเล็กเท่านั้นเอง

มีจุดชี้วัดการใช้อำนาจของรักษาการนายกฯ ของพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.อีกเรื่องก็คือ การพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารของเหล่าทัพ และเก้าอี้สำคัญของกระทรวงกลาโหม ที่มีการประชุมสภากลาโหมกันไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั่งหัวโต๊ะ ก็ยังไม่มีบทสรุปต่อเรื่องดังกล่าว แม้จะมีเวลาไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน แต่โดยปกติแล้ว ทุกอย่างจะต้องแล้วเสร็จล่วงหน้าภายในเดือนนี้

สิ่งที่น่าจะทำให้เกิดความล่าช้าในการพิจารณา น่าจะมาจากคำสั่งนายกฯ ที่มีก่อนหน้านี้ ในการจัดทำบัญชีรายชื่อการแต่งตั้งของสภากลาโหม จะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ ก่อน จึงจะนำขึ้นทูลเกล้าได้ เมื่อเก้าอี้นายกฯ ไม่ใช่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่เป็นพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป. ที่เจ้าตัวมีนโยบายว่า ฝ่ายการเมืองจะไม่ล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้าย ทุกอย่างให้เป็นไปตามข้อเสนอของกองทัพ มันจึงทำให้กระบวนการที่พิจารณากันมาก่อนหน้า ต้องทบทวนกันอีกรอบ ซึ่งภายในสัปดาห์นี้คาดว่าน่าจะจบ

ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่บรรดาหัวหน้าพรรคทั้งหลาย วางเป้าหมายไปเพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายการเมืองที่ต้องการจะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับตัวเอง เพราะเล็งเห็นว่าเมื่อหลังเลือกตั้งเสียงของ ส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงยังมีส่วนกับการเลือกนายกฯ ไม่ว่าจะอย่างไรการใส่ชื่อผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในพรรคของตัวเอง ย่อมได้เปรียบกว่าใครเพื่อน

แต่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ในฐานะที่เป็นผู้คลุกคลีกับการเมืองมาตั้งแต่สมัยมีตำแหน่งในกองทัพไม่ได้มองเช่นนั้น เพราะเข้าใจดีว่าเลือกตั้งครั้งหน้าอะไรที่ขายได้ อะไรที่จะเป็นตัวฉุดคะแนนนิยมของพรรค ดังนั้น จึงพยายามที่จะปรับเปลี่ยนพรรค เดินทางสายกลางไม่สร้างศัตรูกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แม้แต่พรรคเพื่อไทยกับข่าวที่ส่งคนใกล้ตัวไปดีลกับผู้มีอำนาจที่แท้จริง หากเกิดปรากฏการณ์แลนด์สไลด์จริง พรรคสืบทอดอำนาจจะไม่ได้ตกขบวนของการเป็นรัฐบาล

เมื่อทิศทางการเมืองเป็นตัวกำหนดการทำงาน การนั่งเก้าอี้รักษาการนายกฯ แทนน้องเล็กครั้งนี้ จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.จะใช้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้ได้ เมื่อมีอำนาจเต็มการยุบสภาพรรคสืบทอดอำนาจคงไม่ได้เปรียบ ถ้าเช่นนั้นปรับ ครม.ด้วยเหตุผลที่ล่าสุด กนกวรรณ วิลาวัลย์ ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ รวมทั้งยังมี 2 เก้าอี้ของรัฐมนตรีสายตรงตัวเองที่ถูกปรับออกไปก่อนหน้า แนวทางนี้น่าจะพอเป็นไปได้ที่จะได้เห็นพี่ใหญ่ใช้อำนาจเต็มที่ตัวเองมี แต่ก็จะถือเป็นการแตกหักกับน้องเล็กในทันที แม้จะมีโอกาสน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย แต่ทางการเมืองอย่าลืมทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ

Back to top button