PRINC ตีเหล็กกำลังร้อน
หลังจากที่ใช้เงินทุนเพื่อเทกโอเวอร์กิจการโรงพยาบาลหลายแห่ง แล้วทำการปรับปรุงกิจการที่ขาดทุนให้ฟื้นตัวที่มีผลทำให้บริษัทนี้ขาดทุนนานกว่า 3 ปี
หลังจากที่ใช้เงินทุนเพื่อเทคโอเวอร์กิจการโรงพยาบาลหลายแห่ง แล้วทำการปรับปรุงกิจการที่ขาดทุนให้ฟื้นตัวที่มีผลทำให้บริษัทนี้ขาดทุนต่อเนื่องนานกว่า 3 ปี เพราะต้องการเวลา ปีนี้ก็ถึงเวลาของการเปิดให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจนั้นให้ผลตอบแทนกลับมาสวยหรูตามที่คาดไว้เสียทีทั้งรายได้และกำไรสุทธิที่งดงาม
แล้วโมเดลธุรกิจที่เดินดีมาก ก็เบ่งบานต่อยอดขยายตัวต่อไปอีกเป็นเฟสที่สองอย่างมั่นใจ
นายธานี มณีนุตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ ของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ซึ่งวางตำแหน่งของธุรกิจเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนาม ‘เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในงวดไตรมาสที่ 2 บริษัทมีรายได้รวม 1,751.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 829.9 ล้านบาท คิดเป็น 90.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ทำให้ครึ่งปีแรก 2565 รายได้รวมอยู่ที่ 3,836.50 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 1,644.30 ล้านบาท ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2 เฉพาะธุรกิจโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากทุกโรงพยาบาลในเครือที่มีรายได้เพิ่มขึ้นมาก
โดยเฉพาะโรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ที่มีรายได้สูงขึ้นถึง 233.4 ล้านบาท (ร้อยละ 96.0), โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน 93.6 ล้านบาท (ร้อยละ 234.2), โรงพยาบาลวิรัชศิลป์ 56.0 ล้านบาท (ร้อยละ 100.4), โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุบลราชธานี 38.9 ล้านบาท (ร้อยละ 182.1) โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ 28.0 ล้านบาท (ร้อยละ 158.5) เป็นต้น
โดยที่ปัจจัยหลักที่ทำให้มีรายได้หลักที่เพิ่มขึ้นมาจากลูกค้าที่เข้ามาตรวจรักษาตามปกติ และจากการรักษาโควิด-19 ที่ยังคงมีลูกค้าเข้ามารักษาต่อเนื่อง
นอกจากนี้ธุรกิจสถานพยาบาลขนาดย่อม ที่มิใช่โรงพยาบาล ได้แก่ คลินิกใกล้บ้านใกล้ใจ ซึ่งเป็นคลินิกชุมชนอบอุ่นในเครือข่าย สปสช. ร่วมดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในรูปแบบเจอ แจก จบ และให้บริการรักษาพยาบาลอื่น ๆ จากปัจจุบันมี 17 สาขา ตั้งเป้า 20 สาขาในปีนี้ ไตรมาสนี้มีรายได้จำนวน 36.4 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา 28.8 ล้านบาท
ตามมาด้วยธุรกิจคลินิกเสริมความงามในนามผิวดีคลินิก ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้ไตรมาสที่ 2 ปี 2565 นี้ จากปัจจุบันมี 11 สาขา ตั้งเป้า 14 สาขาในปีนี้ ไตรมาสนี้มีรายได้จำนวน 38.2 ล้านบาท
ขณะเดียวกันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้สูงขึ้น 28.7 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 37.7 เพิ่มขึ้นจากมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว และจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งต่างประเทศ และในประเทศสูงขึ้น
รายได้ที่เพิ่มขึ้นทุกกลุ่มส่งผลดีทำให้ภาพรวมไตรมาสที่ 2 ปี 2565 นี้ กำไรสุทธิ 165.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 170.8 ล้านบาท เติบโต 196.9% เป็นอีกไตรมาสที่กำไรเพียงไตรมาสเดียวมากกว่ากำไรสุทธิที่เกิดขึ้นทั้งปีในงวดปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 92.9 ล้านบาท
ปัจจัยหลักนอกจากการร่วมมือกับภาครัฐดูแลรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ยังส่งผลให้จำนวนผู้มาใช้บริการทางการแพทย์ประเภท Non Covid-19 พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ยังมีปัจจัยหนุนนักท่องเที่ยว ต่างชาติและไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งผลดีจากการรับรู้รายได้การเปิดดำเนินงานโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในปีที่ผ่านมา คือ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ, โรงพยาบาลพริ้นซ์ ลำพูน รวมทั้งการเข้าลงทุนในธุรกิจเสริมความงาม ผิวดีคลินิกในไตรมาสที่ 1 ปี 65 ร่วมด้วย ทำให้ทั้งธุรกิจโรงพยาบาล และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตสูงมาก
กำไรที่คืนกลับมาเร็วอย่างมากนอกจาก ทำให้สภาพคล่องทางการเงินดีขึ้นและบุ๊กแวลูของบริษัทแข็งแกร่งที่ระดับ บาทต่อหุ้นแล้ว ยังช่วยให้ฝ่ายบริหารของ PRINC มีความมั่นใจในการก้าวเดินอนาคตอย่างชนิด “ตีเหล็กยามร้อน” ประกาศเฟสที่สองของแผนธุรกิจทันที
PRINC กำหนดให้ไตรมาส 2 ถือว่าเป็นไตรมาสแห่งการขยายธุรกิจของทางบริษัทในหลายด้านพร้อมกัน นอกจากการร่วมดูแลในสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ยังขยายธุรกิจทั้งในเชิงลึกโดยเปิดศูนย์การแพทย์และคลินิกเฉพาะทางรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น ได้แก่ การเปิดศูนย์ทางเดินอาหารและตับ, ศูนย์ดูแลหัวใจในโรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, ศูนย์ดูแลผู้ป่วย NCDs ที่โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ รวมถึงการพัฒนาศูนย์ตรวจสุขภาพ และการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ Long Covid ในโรงพยาบาลในเครือฯ
นอกจากนี้ยังเร่งการขยายธุรกิจในเชิงกว้าง ทั้งการแสวงหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศ หลังเปิดประเทศและผ่อนปรนมาตรการการข้ามแดน ทำให้กลุ่มผู้เข้ารับบริการชาวต่างชาติที่เข้ารับการรักษาโรงพยาบาลในเครือ มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า 2,000 รายในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มผู้เข้ารับบริการชาวลาว เมียนมาร์ และชาวกัมพูชา กลับเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาลในเครือหลายแห่ง
ถึงแม้ผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี 65 จะเติบโตอย่างโดดเด่นต่อเนื่อง แต่บริษัท ยังคงกำหนดเป้าหมายการเติบโตแบบอนุรักษ์นิยม คาดหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตระดับ 20-25% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 5,058.8 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลตามแผนในปี 2565 นี้อีกอย่างน้อย 2-3 แห่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา มีทั้งรูปแบบ Greenfield และการซื้อกิจการ เน้นการกระจายการลงทุนไปยังพื้นที่เมืองรองที่มีโอกาสทางธุรกิจ
ความคาดหวังของฝ่ายบริหารนี้ ได้รับการขานรับอย่างดีเกินกว่าคาด จากการที่ราคาหุ้นของ PRINC พุ่งแรงมากจากระดับเหนือ 4 บาทในไตรมาสแรกเป็นระดับ 7.30 บาท หรือเพิ่มกว่า 75%
ราคาที่เพิ่มแรงเช่นนี้ พี/อีขึ้นมาอยู่ที่ 29 เท่า เป็นปีแรกหลังจากที่ไม่เคยมีนานหลายปี
ราคาขนาดนี้ใครจะหาญกล้าเข้าซื้อก็ถือว่าเปรียบได้ กับพระเอกเรื่อง “มาเวอริก” ทีเดียว