BGT มันนี่เกมโอเวอร์

เอาเป็นว่า BGT เป็นหุ้นที่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานจับต้องไม่ได้เลย...แต่ในระหว่างนี้ราคากลับวิ่งแรงงงส์ No.สน No.แคร์ ปัจจัยพื้นฐานซะงั้น...


ถ้าพูดถึงหุ้นบริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BGT หรือที่หลายคนรู้จักในนามหุ้น Body Glove เพราะเป็นผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าสำเร็จรูปภายใต้แแบรนด์ Body Glove ผ่านร้านค้าของตนเองและทางห้างสรรพสินค้า…ยุคหนึ่ง Body Glove เป็นแบรนด์ดังที่เคยฮอตฮิตของคนในยุคนั้น ซึ่งจะเน้นจับตลาดระดับกลาง-บน ก็ถือว่าซักเซสพอสมควร

แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป มีผู้เล่นเข้ามาในตลาดมากขึ้น ทั้งที่เป็นแบรนด์ดังจากต่างประเทศ เช่น H&M, ZARA, Uniqlo รวมทั้งเสื้อผ้าจากจีนเข้ามาตีตลาด ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นเสื้อผ้ามีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น ประกอบเทรนด์แฟชั่นมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ก็ทำให้แแบรนด์ Body Glove เริ่มจางหายไป ไม่เป็นที่นิยมเหมือนในอดีต…

สะท้อนได้จากผลประกอบการในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ที่มีตัวเลขขาดทุนซ้ำซาก…โดยปี 2561 มีรายได้รวม 715 ล้านบาท ขาดทุน 7 ล้านบาท ปี 2562 มีรายได้รวม 586 ล้านบาท ขาดทุน 42 ล้านบาท ปี 2563 มีรายได้รวม 419 ล้านบาท ขาดทุน 35 ล้านบาท และปี 2564 มีรายได้รวม 352 ล้านบาท ขาดทุน 17 ล้านบาท

ขณะที่ ปี 2565 นี้ก็ยังไร้วี่แววจะสะกดกำไรเป็น หลังจากครึ่งปีแรกมีรายได้รวม 197 ล้านบาท และมีตัวเลขขาดทุน 24 ล้านบาท…

เอาเป็นว่า BGT เป็นหุ้นที่ในแง่ปัจจัยพื้นฐานจับต้องไม่ได้เลย…แต่ในระหว่างนี้ราคากลับวิ่งแรงงงส์ No.สน No.แคร์ ปัจจัยพื้นฐานซะงั้น…

ซึ่งระหว่างที่หุ้น BGT วิ่ง 4×100 นั้น ก็มีนักลงทุน (ชื่ออาจไม่ดังมาก แต่นามสกุลดัง) เข้ามาเก็บหุ้นเพิ่ม นั่นคือ “ภสุ วชิรพงศ์” เขาคนนี้เป็นหลาน “เสี่ยยักษ์”-วิชัย วชิรพงศ์ เซียนหุ้นชื่อดัง โดยแจ้งทำรายการซื้อหุ้น BGT จำนวน 10.23 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2.8141% เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2565 ในราคา 3.40 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 34.78 ล้านบาท ส่งผลให้ “ภสุ” มีสัดส่วนการถือหุ้นใน BGT เพิ่มเป็น 7.70%

จะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า..? อันนี้ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ในวันนั้นหุ้น BGT วิ่งคึกเป็นม้าศึก ปรับขึ้นไป 10.49% ปิดตลาดที่ระดับสูงสุด 3.58 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 55.97 ล้านบาท

เอ๊ะ..!! หรือจะเป็นเพราะนามสกุลดังขายได้หรือเปล่า..? ก็ไม่รู้สินะ…

เพราะไม่มีอะไรบ่งบอกปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้หุ้นวิ่งได้เลย…เนื่องจากผลประกอบการก็ยังเละเทะ ไม่มีทีท่าว่าจะพลิกมามีกำไรเลยนะ แต่ราคาวิ่งไปไกลแล้ว

ล่าสุดปรากฏว่าชื่อของ “ภสุ” หายไปจากทำเนียบผู้ถือหุ้นแล้ว โดยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2565 แจ้งทำรายการขายหุ้น BGT สัดส่วน 5.7768% ส่งผลให้เหลือสัดส่วนการถือหุ้น 0%

เท่ากับว่า “ภสุ” เข้ามาถือหุ้นเพิ่มไม่ถึง 2 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ก็เปิดตูดแนบไปแล้ว…

บ่งบอกว่า มันนี่เกมโอเวอร์ไปแล้วหรือเปล่า..?

แหม๊…ไม่รู้ว่านี่จะเป็นจังหวะให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ออกของด้วยหรือเปล่าน้อ..? เพราะบังเอิ๊ญบังเอิญในรอบเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ก็มีการทยอยขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 ราย ได้แก่ “ดลนภา ธรรมวัฒนะ” ผู้ถือหุ้นเบอร์ 1 ขายหุ้น 3 รอบ รวมกันจำนวน 2.05 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 3.40 บาท

ส่วน “นันทริกา ชันซื่อ” ผู้ถือหุ้นเบอร์ 3 ขาย 4 รอบด้วยกัน รวมจำนวน 1.72 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 3.40 บาท

โอเค…ผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้น ทำได้ ไม่ใช่เรื่องผิด อันนี้ไม่เถียง…แต่การขายในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ราคาวิ่งแรงเว่อร์ ตรงนี้น่าคิด…มันเลยทำให้หุ้น BGT ที่เคยวิ่งปึ๋งปั๋งก่อนหน้านี้ เริ่มหัวทิ่ม จนปัจจุบันราคาทรุดมาอยู่ที่ 1.84 บาท ตกชั้นมาเป็นหุ้นบาทเศษอีกครั้ง…

เพราะเกมนี้มันจบแล้วครับนาย..!?

…อิ อิ อิ…

Back to top button